พระธรรมคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

พระสูตรในพระไตรปิฎก


การบรรยายธรรมโดย

พระอาจารย์สมบัติ นันทิโก  

มีความลึกซึ้ง แตกฉาน ชัดเจน ตามพระไตรปิฎก 

ไม่ขัดกับคำสอนของพระผู้มีพระภาค

ได้รวบรวมเอาไว้เป็นหมวดหมู่

มีคุณภาพเสียงชัดเจน

สามารถรับฟังได้อย่างต่อเนื่อง

ขอเชิญทุกท่านคลิกเข้าไปเลือกฟังได้

ตามอัธยาศัย

ธรรมบรรยายขนาดยาว เกิน 50 ตอน

ธรรมบรรยายขนาดกลาง 30-50 ตอน

ธรรมบรรยายขนาดสั้น ไม่เกิน 30 ตอน

ธรรมบรรยายขนาดสั้น ไม่เกิน 30 ตอน

ก็แต่ว่าเมื่อเราตรึกตรองอยู่นานเกินไป ร่างกายก็เหน็ดเหนื่อย   เมื่อร่างกายเหน็ดเหนื่อย    จิตก็ฟุ้งซ่าน  เมื่อจิตฟุ้งซ่าน   จิตก็ห่างจากสมาธิ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแลดำรงจิตไว้ในภายใน ทำให้สงบ ทำให้เกิดสมาธิ ประคองไว้ด้วยดี ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะปรารถนาไว้ว่า จิตของเราอย่าฟุ้งซ่านอีกเลย    ดังนี้

Get social with us!
  • SoundCloud Social Icon
  • Facebook Social Icon
  • Facebook Clean Grey

เรื่องศีลเรื่องสิกขาบทบัญญัตินี่ ถ้ากายวาจาไม่เรียบร้อยแล้ว ไปไม่รอดเพราะ “เป็นการข้ามมรรค” 

บางคนพูดว่า สมถะไม่ต้อง ไปทำ ข้ามไปวิปัสสนาเลย คนมักง่ายหรอกที่พูดเช่นนั้น เขาว่าศีลไม่ต้องเกี่ยว ก็การรักษาศีลนี้มันยากมิใช่เล่น ถ้าจะข้ามไปเลยมันก็สบายเท่านั้น อะไรที่ยากแล้วข้ามไปใครๆ ก็อยากข้าม

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

บทสวดสติปัฏฐานสี่



หน้าแรก
พระพุทธพจน์
วันสำคัญทางศาสนา
พระพุทธประวัติ
บทสวดมนต์
ประวัติวัดป่ามหาชัย
เจ้าอาวาส

 บทสวด สาธยาย มหาสติปัฏฐาน ๔ แปล


บทสวด มหาสติปัฏฐาน ๔ หรือ มหาสติปัฏฐานสูตร

(หันทะ มะยัง มะหาสะติปัฏฐานะธัมมะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)

เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค
- ภิกษุทั้งหลาย! หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก

สัตตานัง วิสุทธิยา
- เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย

โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ
- เพื่อล่วงซึ่งความโศกและปริเทวะ

ทุกขะโทมะนัสสานัง อัฏฐังคะมายะ
- เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

ญายัสสะ อะธิคะมายะ
- เพื่อการบรรลุธรรมที่ถูกต้อง

นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ
- เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา
- หนทางนี้ คือสติปัฏฐาน ๔

กะตะมา จัตตาโร
- สติปัฏฐาน ๔ คืออะไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกายอยู่

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
- มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ

วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
- นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้

เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
- มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ

วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
- นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้

จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
- มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ

วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
- นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้

ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา
- มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ

วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง
- นำอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้

 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
๑.อานาปานะปัพพะ (กำหนดรู้ลมหายใจ)

(หันทะ มะยัง อานาปานะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)

กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

อะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระโต วา
- ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี

นิสีทะติ ปัลลังกัง อาภุชิต๎วา
- นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ

อุชุกายัง ปะณิธายะ ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปต๎วา
- ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า

โสสะโต วา อัสสะสะติสะโตปัสสะสะติ
- เธอมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก

ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว

ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว

รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น

รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น

สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า

สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก

ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจเข้า

ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจออก

เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทักโข ภะมะกาโร วา ภะมะการันเตวาสี วา
- ภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนนายช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน

ทีฆัง วา อัญฉันโต ทีฆัง อัญฉามีติ ปะชานาติ
- เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงยาว

รัสสัง วา อัญฉันโต รัสสัง อัญฉามีติ ปะชานาติ
- เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น

เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว

ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว

รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น

รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ
- เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น

สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า

สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก

ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจเข้า

ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ
- ย่อมศึกษาว่า เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้ระงับ หายใจออก

อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง

พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง

อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่


 ๒.อิริยาปะถะปัพพะ (กำหนดรู้อิริยาบถใหญ่)

(หันทะ มะยัง อิริยาปะถะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)

ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

คัจฉันโต วา คัจฉามีติ ปะชานาติ
- ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่า เราเดินอยู่

ฐิโต วา ฐิโตมหีติ ปะชานาติ
- เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืนอยู่

นิสินโน วา นิสินโนมหีติ ปะชานาติ
- เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่งอยู่

สะยาโน วา สะยาโนมหีติ ปะชานาติ
- เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอนอยู่

ยะถา ยะถา วา ปะนัสสะกาโย ปะณิหิโต โหติ
- เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ

ตะถา ตะถา นัมปะชานาติ
- ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ

อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง

พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง

อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่

 ๓.สัมปะชัญญะปัพพะ (กำหนดรู้อิริยาบถย่อย)

(หันทะ มะยัง สัมปะชัญญะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)

ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

อะภิกกันเต ปะฏิกกันเต สัมปะชานะการี โหติ
- ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัว ในการก้าวไป ถอยกลับ

อาโลกิเต วิโลกิเต สัมปะชานะการี โหติ
- ทำความรู้สึกตัว ในการแลดู การเหลียว

สัมมิญชิเต ปะสาริเต สัมปะชานะการี โหติ
- ทำความรู้สึกตัว ในการคู้เข้า เหยียดออก

สังฆาฏิปัตตะจีวะระธาระเณ สัมปะชานะการี โหติ
- ทำความรู้สึกตัว ในการทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร

อะสิเต ปิเต ขายิเต สายิเต สัมปะชานะการี โหติ
- ทำความรู้สึกตัว ในการกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มรส

อุจจาระปัสสาวะกัมเม สัมปะชานะการี โหติ
- ทำความรู้สึกตัว ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ

คะเต ฐิเต นิสินเน สุตเต ชาคะริเต ภาสิเต ตุณ๎หีภาเว สัมปะชานะการี โหติ
- ทำความรู้สึกตัว ในการก้าวไป หยุดอยู่ นั่งอยู่ การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง

อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง

พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง

อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่


 ๔.ปะฏิกูละมะนะสิการะปัพพะ (กำหนดรู้ปฏิกูลในกาย ๓๑ อย่าง)

(หันทะ มะยัง ปะฏิกูละมะนะสิการะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)

ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ - ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

อิมะเมวะ กายัง - ภิกษุพิจารณาเห็นกายนี้แล

อุทธัง ปาทะตะลา - เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา

อะโธ เกสะมัตถะกา - เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป

ตะจะปะริยันตัง - มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ

ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ - เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ

อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย - มีอยู่ในกายนี้

เกสา - คือผมทั้งหลาย โลมา - คือขนทั้งหลาย

นะขา - คือเล็บทั้งหลาย ทันตา - คือฟันทั้งหลาย

ตะโจ - หนัง มังสัง - เนื้อ

นะหารู - เอ็นทั้งหลาย อัฏฐี - กระดูกทั้งหลาย

อัฏฐิมิญชัง - เยื่อในกระดูก วักกัง - ม้าม

หะทะยัง - หัวใจ ยะกะนัง - ตับ

กิโลมะกัง - พังผืด ปิหะกัง - ไต

ปัปผาสัง - ปอด อันตัง - ไส้ใหญ่

อันตะคุณัง - ไส้น้อย อุทะริยัง - อาหารใหม่

กะรีสัง - อาหารเก่า ปิตตัง - น้ำดี

เสมหัง - น้ำเสลด ปุพโพ - น้ำหนอง

โลหิตัง - น้ำเลือด เสโท - น้ำเหงื่อ

เมโท - น้ำมันข้น อัสสุ - น้ำตา

วะสา - น้ำมันเหลว เขโฬ - น้ำลาย

สิงฆาณิกา - น้ำมูก ละสิกา - น้ำมันไขข้อ

มุตตันติ - น้ำมูตรดังนี้

เสยยะถาปิ ภิกขะเว อุภะโต มุขา มูโตฬี
- ภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนไถ้ มีปากสองข้าง

ปูรานานาวิหิตัสสะ ธัญญัสสะ เสยยะถีทัง
- เต็มด้วยธัญญชาติต่างชนิด คือ

สาลีนัง วีหีนัง มุคคานัง
- ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว

มาสานัง ติลานัง ตัณฑุลานัง
- ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร

ตะเมนัง จักขุมา ปุริโส มุญจิต๎วา ปัจจะเวกเขยยะ
- บุรุษผู้มีตาดี แก้ไถ้นั้นแล้ว พึงเห็นได้ว่า

อิเม สาลี อิเม วีหี อิเม มุคคา
- นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว

อิเม มาสา อิเม ติลา อิเม ตัณฑุลาติ
- นี้ถั่วเหลือง นี้งา นี้ข้าวสาร

เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ฉันใดก็ฉันนั้น

อิมะเมวะ กายัง
- ภิกษุพิจารณาเห็นกายนี้แล

อุทธัง ปาทะตะลา
- เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา

อะโธ เกสะมัตถะกา
- เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป

ตะจะปะริยันตัง
- มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ

ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ
- เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ

อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย
- มีอยู่ในกายนี้

เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
- ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

มังสัง นะหารู อัฏฐี อัฏฐิมิญชัง วักกัง
- เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม

หะทะยัง ยะกะนัง กิโลมะกัง ปิหะกัง ปัปผาสัง
- หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด

อันตัง อันตะคุณัง อุทะริยัง กะรีสัง
- ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า

ปิตตัง เสมหัง ปุพโพ โลหิตัง เสโท เมโท
- น้ำดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น

อัสสุ วะสา เขโฬ สิงฆาณิกา ละสิกา มุตตันติ
- น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตรดังนี้

อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง

พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง

อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่



 ๕.ธาตุมะนะสิการะปัพพะ (กำหนดรู้ธาตุ ๔ อย่าง)

(หันทะ มะยัง ธาตุมะนะสิการะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)

ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง
- ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล อันตั้งอยู่ ดำรงอยู่ตามปกติ

ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ
- โดยความเป็นธาตุว่า

อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย
- ในร่างกายนี้มี

ปะฐะวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ
- ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมดังนี้

เสยยะถาปิ ภิกขะเว ทักโข โคฆาตะโก วา
- ภิกษุทั้งหลาย! เปรียบเหมือนคนฆ่าโค

โคฆาตะกันเตวาสี วา คาวิง วะธิต๎วา
- หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน ฆ่าแม่โคแล้ว

จาตุมมะหาปะเถ วิละโส ปะฏิวิภะชิต๎วา นิสินโน อัสสะ
- แบ่งออกเป็นส่วนๆ นั่งอยู่ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง

เอวะเมวะ โข ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ฉันใด ก็ฉันนั้น

อิมะเมวะ กายัง ยะถาฐิตัง ยะถาปะณิหิตัง ธาตุโส ปัจจะเวกขะติ
- ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้แล อันตั้งอยู่ ดำรงอยู่ตามปกติ โดยความเป็นธาตุว่า

อัตถิ อิมัส๎มิง กาเย
- ในร่างกายนี้มี

ปะฐะวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตูติ
- ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมดังนี้

อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง

พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง

อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่



 ๖.นะวะสีวถิกาปัพพะ (กำหนดรู้ซากศพทั้ง ๙)

(หันทะ มะยัง นะวะสีวะถิกาปัพพะปาฐัง ภะณามะ เส ฯ)

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

เอกาหะมะตัง วา ทะวีหะมะตัง วา ตีหะมะตัง วา
- ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง

อุทธุมาตะกัง วินีละกัง วิปุพพะกะชาตัง
- ที่ขึ้นพองมีสีเขียว มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้....ฯลฯ

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

กาเกหิ วา ขัชชะมานัง คิชเฌหิ วา ขัชชะมานัง
- อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง อันฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง

กุละเลหิ วา ขัชชะมานัง สุวาเณหิ วา ขัชชะมานัง
- อันฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง อันหมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง

สิงคาเลหิ วา ขัชชะมานัง วิวิเธหิ วา ปาณะกะชาเตหิ ขัชชะมานัง
- อันหมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง อันหมู่สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยกัดกินอยู่บ้าง

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้......ฯลฯ

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อัฏฐิสังขะลิกัง สะมังสะโลหิตัง นะหารุสัมพันธัง
- เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อัฏฐิสังขะลิกัง นิมมังสะโลหิตะมักขิตัง นะหารุสัมพันธัง
- เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อแต่ยังเปื้อนเลือดอยู่ ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อัฏฐิสังขะลิกัง อะปะคะตะมังสะโลหิตัง นะหารุสัมพันธัง
- เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้....ฯลฯ

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อัฏฐิกานิ อะปะคะตะนะหารุสัมพันธานิ
- เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว

ทิสาวิทิสา วิกขิตตานิ
- เรี่ยรายไปในทิศน้อยทิศใหญ่คือ

อัญเญนะ หัตถัฏฐิกัง อัญเญนะ ปาทัฏฐิกัง
- กระดูกมือไปทาง กระดูกเท้าไปทาง

อัญเญนะ ชังฆัฏฐิกัง อัญเญนะ อูรัฏฐิกัง
- กระดูกแข้งไปทาง กระดูกขาไปทาง

อัญเญนะ กะกิฏฐิกัง อัญเญนะ ปิฏฐิกัณฏะกัฏฐิกัง
- กระดูกสะเอวไปทาง กระดูกสันหลังไปทาง

อัญเญนะ ผาสุกัฏฐิกัง อัญเญนะ อุรัฏฐิกัง
- กระดูกซี่โครงไปทาง กระดูกหน้าอกไปทาง

อัญเญนะ พาหุฏฐิกัง อัญเญนะ อังสัฏฐิกัง
- กระดูกแขนไปทาง กระดูกไหล่ไปทาง

อัญเญนะ คีวัฏฐิกัง อัญเญนะ หะนุฏฐิกัง
- กระดูกคอไปทาง กระดูกคางไปทาง

อัญเญนะ ทันตัฏฐิกัง อัญเญนะ สีสะกะฏาหัง
- กระดูกฟันไปทาง กะโหลกศรีษะไปทาง

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อัฏฐิกานิ เสตานิ สังขะวัณณุปะนิกานิ
- เป็นกระดูก มีสีขาวเปรียบด้วยสีสังข์

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อัฏฐิกานิ ปุญชะกิตานิ เตโรวัสสิกานิ
- เป็นกระดูก กองเรี่ยรายอยู่ นานเกินปีหนึ่งขึ้นไป

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้.....ฯลฯ

© ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

เสยยะถาปิ ปัสเสยยะ สะรีรัง สีวะถิกายะ ฉัฑฑิตัง
- ภิกษุเหมือนกับว่า พึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อัฏฐิกานิ ปูตีนิ จุณณะกะชาตานิ
- เป็นกระดูก ผุเป็นจุณแล้ว

โส อิมะเมวะ กายัง อุปะสังหะระติ
- เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

อะยัมปิ โข กาโย
- ถึงร่างกายอันนี้เล่า

เอวัง ธัมโม เอวัง ภาวี เอวัง อะนะตีโตติ
- ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา คงเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงพ้นความเป็นอย่างนี้ไปได้

อิติ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบ้าง

พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นกายในกาย ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในกายบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในกายบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในกายบ้าง

อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัมปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่



 เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (เห็นเวทนาโดยลักษณะ ๙ อย่าง)

(หันทะ มะยัง เวทะนานุปัสสะนาปาฐัง ภะณามะ เสฯ)

กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

© สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นสุขอยู่

สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นสุขอยู่

© ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์อยู่

ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์อยู่

© อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขอยู่

อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขอยู่

© สามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นสุข มีอามิสอยู่

สามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นสุข มีอามิสอยู่

© นิรามิสัง วา สุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นสุข ไม่มีอามิสอยู่

นิรามิสัง สุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นสุข ไม่มีอามิสอยู่

© สามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ มีอามิสอยู่

สามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ มีอามิสอยู่

© นิรามิสัง วา ทุกขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ ไม่มีอามิสอยู่

นิรามิสัง ทุกขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์ ไม่มีอามิสอยู่

© สามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข มีอามิสอยู่

สามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข มีอามิสอยู่

© นิรามิสัง วา อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยะมาโน
- เมื่อเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ไม่มีอามิสอยู่

นิรามิสัง อะทุกขะมะสุขัง เวทะนัง เวทิยามีติ ปะชานาติ
- ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนาอันไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ไม่มีอามิสอยู่

 อิติ อัชฌัตตัง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ภายในบ้าง

พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในเวทนาบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในเวทนาบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในเวทนาบ้าง

อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่



 จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (เห็นจิตโดยลักษณะ ๑๖ อย่าง)

(หันทะ มะยัง จิตตานุปัสสะนาปาฐัง ภะณามะ เสฯ)

กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

สะราคัง วา จิตตัง สะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ
- จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีราคะ

วีคะราคัง วา จิตตัง วีตะราคัง จิตตันติ ปะชานาติ
- หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากราคะ

สะโทสัง วา จิตตัง สะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ
- จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโทสะ

วีตะโทสัง วา จิตตัง วีตะโทสัง จิตตันติ ปะชานาติ
- หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโทสะ

สะโมหัง วา จิตตัง สะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ
- จิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตมีโมหะ

วีตะโมหัง วา จิตตัง วีตะโมหัง จิตตันติ ปะชานาติ
- หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโมหะ

สังขิตตัง วา จิตตัง สังขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ
- จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่า จิตหดหู่

วิกขิตตัง วา จิตตัง วิกขิตตัง จิตตันติ ปะชานาติ
- หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่า จิตฟุ้งซ่าน

มะหัคคะตัง วา จิตตัง มะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ
- จิตเป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นมหรคต ( จิตที่เข้าถึงความเป็นใหญ่ )  

อะมะหัคคะตัง วา จิตตัง อะมะหัคคะตัง จิตตันติ ปะชานาติ
- หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นมหรคต

สะอุตตะรัง วา จิตตัง สะอุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ
- จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า

อะนุตตะรัง วา จิตตัง อะนุตตะรัง จิตตันติ ปะชานาติ
- หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ชัดว่า จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า

สะมาหิตัง วา จิตตัง สะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ
- จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นสมาธิ

อะสะมาหิตัง วา จิตตัง อะสะมาหิตัง จิตตันติ ปะชานาติ
- หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ชัดว่า จิตไม่เป็นสมาธิ

วิมุตตัง วา จิตตัง วิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ
- จิตหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตหลุดพ้น

อะวิมุตตัง วา จิตตัง อะวิมุตตัง จิตตันติ ปะชานาติ
- หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่หลุดพ้น

อิติ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิต ภายในบ้าง

พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นจิตในจิต ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นจิตในจิต ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในจิตบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในจิตบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในจิตบ้าง

อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัง โข ภิกขะเว ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่



 ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (เห็นธรรมโดยลักษณะ ๕ อย่าง)

๑.นิวะระณะปัพพะ (กำหนดรู้นิวรณ์ ๕ อย่าง)

(หันทะ มะยัง นิวะระณะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)

กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ ปัญจะสุ นีวะระเณสุ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ คือนิวรณ์ ๕ อย่าง

กะกัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

ปัญจะสุ นีวะระเณสุ
- คือนิวรณ์ ๕ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

© สันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง
- เมื่อความพอใจในกาม มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความพอใจในกาม มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง กามะฉันทัง
- เมื่อความพอใจในกาม ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง กามะฉันโทติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความพอใจในกาม ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง เมื่อความพอใจในกามที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ กามะฉันทัสสะ ปะหานัง โหติ
- เมื่อความพอใจในกามที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ กามะฉันทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- หรือความพอใจในกามที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ

© สันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง
- เมื่อความพยาบาท มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความพยาบาท มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง พะยาปาทัง
- เมื่อความพยาบาท ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง พะยาปาโทติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความพยาบาท ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง เมื่อความพยาบาทที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ พะยาปาทัสสะ ปะหานัง โหติ
- เมื่อความพยาบาทที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ พะยาปาทัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- หรือความพยาบาทที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย....ฯลฯ

© สันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง
- เมื่อความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ถีนะมิทธัง
- เมื่อความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง ถีนะมิทธันติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความหดหู่และเคลิบเคลิ้ม ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง เมื่อความหดหู่และเคลิบเคลิ้มที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ ปะหานัง โหติ
- เมื่อความหดหู่และเคลิบเคลิ้มที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ ถีนะมิทธัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- หรือความหดหู่และเคลิบเคลิ้มที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย....ฯลฯ

© สันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง
- เมื่อความฟุ้งซ่านรำคาญ มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความฟุ้งซ่านรำคาญ มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจัง
- เมื่อความฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุทธัจจะกุกกุจจันติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง เมื่อความฟุ้งซ่านรำคาญที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ ปะหานัง โหติ
- เมื่อความฟุ้งซ่านรำคาญที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ อุทธัจจะกุกกุจจัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- หรือความฟุ้งซ่านรำคาญที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย....ฯลฯ

© สันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง
- เมื่อความลังเลสงสัย มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉันติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความลังเลสงสัย มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิจิกิจฉัง
- เมื่อความลังเลสงสัย ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิจิกิจฉันติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ความลังเลสงสัย ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง เมื่อความลังเลสงสัยที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ ปะหานัง โหติ
- เมื่อความลังเลสงสัยที่เกิด จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ วิจิกิจฉัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- หรือความลังเลสงสัยที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง

อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม

ปัญจะสุ นีวะระเณสุ
- คือ นิวรณ์ ๕ อยู่



 ๒.ขันธะปัพพะ (กำหนดรู้ขันธ์ ๕ อย่าง)

(หันทะ มะยัง ขันธะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)

ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ
- คือ อุปาทานขันธ์ทั้งห้า

กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ
- คืออุปาทานขันธ์ทั้งห้า เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า

© อิติ รูปัง อิติ รูปัสสะ สะมุทะโย
- อย่างนี้! รูป อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งรูป

อิติ รูปัสสะ อัตถังคะโม
- อย่างนี้! ความดับแห่งรูป

© อิติ เวทะนา อิติ เวทะนายะ สะมุทะโย
- อย่างนี้! เวทนา อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา

อิติ เวทะนายะ อัตถังคะโม
- อย่างนี้! ความดับแห่งเวทนา

© อิติ สัญญา อิติ สัญญายะ สะมุทะโย
- อย่างนี้! สัญญา อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา

อิติ สัญญายะ อัตถังคะโม
- อย่างนี้! ความดับแห่งสัญญา

© อิติ สังขารา อิติ สังขารานัง สะมุทะโย
- อย่างนี้! สังขาร อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร

อิติ สังขารานัง อัตถังคะโม
- อย่างนี้! ความดับแห่งสังขาร

© อิติ วิญญาณัง อิติ วิญญาณัสสะ สะมุทะโย
- อย่างนี้! วิญญาณ อย่างนี้ ! ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ

อิติ วิญญาณัสสะ อัตถังคะโมติ
- อย่างนี้! ความดับแห่งวิญญาณ

อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง

อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม

ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ
- คือ อุปาทานขันธ์ทั้งห้าอยู่



 ๓. อายะตะนะปัพพะ (กำหนดรู้อายตนะภายใน-ภายนอก ๖ อย่าง)

(หันทะ มะยัง อายะตะนะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)

ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ
- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖

กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ
- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

© จักขุญจะ ปะชานาติ รูเป จะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้จักนัยน์ตา ย่อมรู้จักรูป

ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ
- รู้จักนัยน์ตาและรูปทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ
- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ

© โสตัญจะ ปะชานาติ สัทเท จะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้จักหู ย่อมรู้จักเสียง

ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ
- รู้จักหูและเสียงทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ
- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ

© ฆานัญจะ ปะชานาติ คันเธ จะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้จักจมูก ย่อมรู้จักกลิ่น

ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ
- รู้จักจมูกและกลิ่นทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ
- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ

© ชิวหิญจะ ปะชานาติ ระเส จะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้จักลิ้น ย่อมรู้จักรส

ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ
- รู้จักลิ้นและรสทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ
- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ

© กายัญจะ ปะชานาติ โผฏฐัพเพ จะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้จักกาย ย่อมรู้จักสิ่งที่ถูกต้องด้วยกาย

ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ
- รู้จักกายและสิ่งที่ถูกต้องด้วยกายทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ
- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย...ฯลฯ

© มะนัญจะ ปะชานาติ ธัมเม จะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้จักใจ ย่อมรู้จักธรรมารมณ์

ยัญจะ ตะทุภะยัง ปะฏิจจะ อุปปัชชะติ สัญโญชะนัง ตัญจะ ปะชานาติ จะ
- รู้จักใจและธรรมารมณ์ทั้งสองนั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดแห่งสังโยชน์

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อุปปาโท โหติ
- อนึ่ง สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สัญโญชะนัสสะ ปะหานัง โหติ
- สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ ปะหีนัสสะ สัญโญชะนัสสะ อายะติง อะนุปปาโท โหติ
- สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไป ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง

อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่าง หนึ่งสติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม

ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุ อายะตะเนสุ
- คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ อยู่



 ๔.โพชฌังคะปัพพะ (กำหนดรู้องค์ธรรมแห่งการรู้แจ้ง ๗ ประการ)

(หันทะ มะยัง โพชฌังคะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)

ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

สัตตะสุ โพชฌังเคสุ
- คือโพชฌงค์ ๗

กะถัญจะ ภิกขะเว ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

สัตตะสุ โพชฌังเคสุ
- คือโพชฌงค์ ๗ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

© สันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง
- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังคัง
- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสติ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

© สันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง
- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัง
- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสอดส่องธรรม ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์
ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

© สันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังคัง
- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังคัง
- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง วิริยะสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ วิริยะสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือความเพียร ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์
ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

© สันตัง วา อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังคัง
- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังคัง
- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปีติสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปีติสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปีติสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปีติ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

© สันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง
- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัง
- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง ปัสสัทธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ ปัสสัทธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือปัสสัทธิ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

© สันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังคัง
- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังคัง
- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง สะมาธิสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ สะมาธิสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ สะมาธิสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คือสมาธิ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

© สันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังคัง
- เมื่อธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา มีอยู่ภายในจิต

อัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา มีอยู่ภายในจิตของเรา

อะสันตัง วา อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังคัง
- อนึ่ง ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา ไม่มีอยู่ภายในจิต

นัตถิ เม อัชฌัตตัง อุเปกขาสัมโพชฌังโคติ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา ไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

ยะถา จะ อะนุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ อุปปาโท โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ยะถา จะ อุปปันนัสสะ อุเปกขาสัมโพชฌังคัสสะ ภาวะนาปาริปูริ โหติ
- ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้คืออุเบกขา ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด

ตัญจะ ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

อิติ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ด้วยอาการอย่างนี้ ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ทั้งภายในและภายนอกบ้าง

สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเกิดขึ้น ในธรรมบ้าง

วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม คือความเสื่อมไป ในธรรมบ้าง

สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ
- พิจารณาเห็นธรรม ทั้งความเกิดขึ้นและเสื่อมไป ในธรรมบ้าง

อัตถิ ธัมมันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ
- อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่

ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะติสสะติมัตตายะ
- เพียงสักว่ารู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น

อะนิสสิโต จะ วิหะระติ
- เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้

นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ
- ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

เอวัมปิ โข ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม

สัตตะสุ โพชฌังเคสุ
- คือโพชฌงค์ ๗ อยู่ฯ



 ๕.๑. สัจจะปัพพะ (กำหนดรู้อริสัจ ๔ อย่าง)

(หันทะ มะยัง อะริยะสัจจะปัพพะปาฐัง ภะณามะ เสฯ)

ปุนะ จะ ปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! อีกข้อหนึ่ง

ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
- ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ คืออริยสัจ ๔

กะถัญจะ ภิกขะเว ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ
- คืออริยสัจ ๔ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ภิกขุ
- ภิกษุทั้งหลาย! ภิกษุในธรรมวินัยนี้

อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้! ทุกข์

อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้! เหตุให้เกิดทุกข์

อะยัง ทุกขะนิโรโธติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้! ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

อะยัง ทุกขะนิโรคะคามินีปะฏิปะทาติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ
- ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้! การปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

© กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง
- ภิกษุทั้งหลาย! ทุกข์ในอริยสัจ เป็นอย่างไรเล่า?

ชาติปิ ทุกขา
- แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์

ชะราปิ ทุกขา
- แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์

มะระณัมปิ ทุกขัง
- แม้ความตายก็เป็นทุกข์

โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา
- แม้ความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ
ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์

อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
- ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
- ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
- มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์

สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
- ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์

© กะตะมา จะ ภิกขะเว ชาติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ความเกิด เป็นอย่างไรเล่า?

ยา เตสัง เตสัง สัตตานิ ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชาติ สัญชาติ โอกกันติ,
นิพพัตติ อะภินิพพัตติ ขันธานัง ปาตุภาโว อายะตะนานัง ปะฏิลาโภ
- การเกิด การกำเนิด การก้าวลง การเกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์
การได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้นๆ

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชาติ
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความเกิด

© กะตะมา จะ ภิกขะเว ชะรา
- ภิกษุทั้งหลาย! ความแก่ เป็นอย่างไรเล่า?

ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหิ ตัมหิ สัตตะนิกาเย ชะรา ชีระณะตา,
ขัณฑิจจัง ปาลิจจัง วะลิตจะตา อายุโน สังหานิ อินทะริยานัง ปะริปาโก
- ความแก่ ภาวะของความแก่ มีฟันหลุด ผมหงอก หนังเป็นเกลียว
ความเสื่อมรอบแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้นๆ

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ชะรา
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความแก่

© กะตะมัญจะ ภิกขะเว มะระณัง
- ภิกษุทั้งหลาย! ความตาย เป็นอย่างไรเล่า ?

ยา เตสัง เตสัง สัตตานัง ตัมหา ตัมหา สัตตะนิกายา จุติ จะวะนะตา เภโท
อันตะระธานัง มัจจุมะระณัง, กาละกิริยา ขันธานัง เภโท กะเฬวะรัสสะ
นิกเขโป ชีวิตินทะริยัสสะ อุปัจเฉโท
- ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป การวายชีพ
ความตาย การทำกาละ ความแตกทำลายแห่งขันธ์ทั้งหลาย การทอดทิ้งซากศพไว้
ความขาดแห่งอินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของสัตว์เหล่านั้นๆ

อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว มะระณัง
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความตาย

© กะตะมา จะ ภิกขะเว โสโก

- ภิกษุทั้งหลาย! ความโศก เป็นอย่างไรเล่า?

โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ
อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ, ผุฏฐัสสะโสโก โสจะนา โสจิตัตตัง
อันโต โสโก อันโต ปะริโสโก
- ความแห้งใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ ความผากภายใน ความแห้ง
ผากภายใน ของบุคคลผู้ถึงความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกธรรมคือความทุกข์อย่างใดอย่าง
หนึ่งกระทบแล้ว

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว โสโก
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความโศก

© กะตะมา จะ ภิกขะเว ปะริเทโว
- ภิกษุทั้งหลาย! ความร่ำไรรำพัน เป็นอย่างไรเล่า?

โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ
อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ, ผุฏฐัสสะ อาเทโว ปะริเทโว
อาเทวะนาปะริเทวะนา อาเทวิตัตตัง ปะริเทวิตัตตัง
- ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ กิริยาที่ร่ำไรรำพัน
ภาวะบุคคลผู้คร่ำครวญ ภาวะบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคลผู้ถึงความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง กระทบแล้ว

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปะริเทโว
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความร่ำไรรำพัน

© กะตะมัญจะ ภิกขะเว ทุกขัง
- ภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์ทางกาย เป็นอย่างไรเล่า?

ยัง โข ภิกขะเว กายิกัง ทุกขัง กายิกัง อะสาตัง
- ภิกษุทั้งหลาย! ความลำบากทางกาย ความไม่สำราญทางกาย

กายะสัมผัสสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทิยัง
- ความเสวยอารมณ์ไม่ดีที่เป็นทุกข์ เกิดแต่กายสัมผัส

อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความทุกข์ทางกาย

© กะตะมัญจะ ภิกขะเว โทมะนัสสัง
- ภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์ใจ เป็นอย่างไรเล่า?

ยัง โข ภิกขะเว เจตะสิกัง ทุกขัง เจตะสิกัง อะสาตัง
- ภิกษุทั้งหลาย! ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต

เจโตสัมผัสสะชัง ทุกขัง อะสาตัง เวทะยิตัง
- ความเสวยอารมณ์ไม่ดีที่เป็นทุกข์ เกิดแต่ความกระทบทางใจ

อิทัง วุจจะติ ภิกขะเว โทมะนัสสัง
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความทุกข์ใจ

© กะตะโม จะ ภิกขะเว อุปายาโส
- ภิกษุทั้งหลาย! ความคับแค้นใจ เป็นอย่างไรเล่า?

โย โข ภิกขะเว อัญญะตะรัญญะตะเรนะ พังยะสะเนนะ สะมันนาคะตัสสะ
อัญญะตะรัญญะตะเรนะ ทุกขะธัมเมนะ, ผุฏฐัสสะ อายาโส อุปายาโส
อายาสิตัตตัง อุปายาสิตัตตัง
- ภิกษุทั้งหลาย! ความแค้นความคับแค้น ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น
ของบุคคลผู้ถึงความวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อุปายาโส

- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความคับแค้นใจ

© กะตะโม จะ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
- ภิกษุทั้งหลาย! ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อะนิฏฐา อะกันตา อะมะนาปา รูปา สัทธา คันธา ระสา โผฏฐัพพา

- ภิกษุทั้งหลาย! ในโลกนี้อารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่ถูกต้องกาย
อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจแก่ผู้ใด

เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อะนัตถะกามา อะหิตะกามา อะผาสุกามา
อะโยคักเขมะกามา
- หรือชนเหล่าใดเป็นผู้ไม่หวังประโยชน์ ไม่หวังความเกื้อกูล ไม่หวังความผาสุกไม่หวังความเกษมจากโยคะ

ยา เตหิ สังคะติ สะมาคะโต สะโมธานัง มิสสี ภาโว
- การไปด้วยกัน การมาด้วยกัน การอยู่ร่วมกัน ความคลุกคลีกัน ด้วยอารมณ์หรือบุคคลเหล่านั้น

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

กะตะโม จะ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
- ภิกษุทั้งหลาย! ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?

อิธะ ภิกขะเว ยัสสะ เต โหนติ อิฏฐากันตา มะนาปา รูปา สัททา คันธา
ระสา โผฏฐัพพา
- ภิกษุทั้งหลาย! ในโลกนี้อารมณ์คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่ถูกต้องกาย อันเป็นที่ปรารถนา ที่รักใคร่ ที่พอใจของผู้ใด

เย วา ปะนัสสะ เต โหนติ อัตถะกามา หิตะกามา ผาสุกามา โยคักเขมะกามา
- หรือชนเหล่าใด เป็นผู้หวังประโยชน์ หวังความเกื้อกูล หวังความผาสุก
หวังความเกษมจากโยคะ

มาตา วา ปิตา วา ภาตา วา ภะคินี วา มิตตา วา อะมัจจา วา ญาติสาโลหิตา วา
- คือมารดาบิดา พี่น้องชายพี่น้องหญิง มิตรอำมาตย์ ญาติสายโลหิตก็ตาม

ยา เตหิ อะสังคะติ อะสะมาคะโม อะสะโมธานัง อะมิสสี ภาโว
- การไม่ได้ไปร่วม การไม่ได้มาร่วม การไม่ได้อยู่ร่วม การไม่ได้คลุกคลีกัน
ด้วยอารมณ์หรือบุคคลเหล่านั้น

อะยัง วุจจะติ ภิกขะเว ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์

© กะตะมัญจะ ภิกขะเว ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
- ภิกษุทั้งหลาย! ความที่สัตว์ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?

ชาติ ธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า

อะโห วะตะ มะยัง นะ ชาติ ธัมมา อัสสามะ
- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา

นะ จะ วะตะ โน ชาติ อาคัจเฉยยาติ
- และขอความเกิด ไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ

นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง
- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา

อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์

ชะราธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า

อะโห วะตะ มะยัง นะ ชะราธัมมา อัสสามะ
- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา

นะ จะ วะตะ โน ชะรา อาคัจเฉยยาติ
- และขอความแก่ไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ

นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง
- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา

อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์

พะยาธิธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า

อะโห วะตะ มะยัง นะ พะยาธิธัมมา อัสสามะ
- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา

นะ จะ วะตะโน พะยาธิธัมมา อาคัจเฉยยาติ
- และขอความเจ็บไข้ไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ

นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง
- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา

อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์

มะระณะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความตายเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า

อะโห วะตะ มะยัง นะ มะระณะธัมมา อัสสามะ
- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความตายเป็นธรรมดา

นะ จะ วะตะ โน มะระณะธัมมา อาคัจเฉยยาติ
- และขอความตายไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ

นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง
- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา

อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์

โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมานัง ภิกขะเว สัตตานัง
เอวัง อิจฉา อุปปัชชะติ
- ภิกษุทั้งหลาย! ความปรารถนาเกิดขึ้นแก่หมู่สัตว์ ผู้มีความโศกความร่ำไรรำพัน
ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า

อะโห วะตะ มะยัง นะ โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสะธัมมา อัสสามะ
- โอหนอ! ขอเราไม่พึงมีความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจเป็นธรรมดา

นะ จะ วะตะ โน โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา อาคัจเฉยยาติ
- และขอความโศกความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ
ความคับแค้นใจ ไม่พึงมาถึงเราทั้งหลายหนอ

นะ โข ปะเนตัง อิจฉายะ ปัตตัพพัง
- ก็ข้อนี้! สัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา

อิทัมปิ ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง
- แม้นี้! ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์

กะตะมา จะ ภิกขะเว สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
- ภิกษุทั้งหลาย! ว่าโดยย่ออุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า?

เสยยะถีทัง
- ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ

รูปูปาทานักขันโธ
- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือรูป

เวทะนูปาทานักขันโธ
- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือเวทนา

สัญญูปาทานักขันโธ
- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสัญญา

สังขารูปาทานักขันโธ
- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสังขาร

วิญญาณูปาทานักขันโธ
- ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือวิญญาณ

อิเม วุจจันติ ภิกขะเว สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกโดยย่อว่า อุปาทานขันธ์ทั้งห้าเป็นตัวทุกข์

อิเม วุจจะติ ภิกขะเว ทุกขัง
- ภิกษุทั้งหลาย! นี้เรียกว่า ทุกข์ในอริยสัจ


มีต่อ....


กลับสู่หน้าหลัก