กาลครั้งนั้นเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จมาประทับยังพระเชตวันมหาวิหารกรุงสาวัตถี พระองค์ได้หยั่งรู้ถึง ความทุกข์กายทุกข์ใจของภิกษุผู้บำเพ็ญเพียรรูปหนึ่ง ที่ไม่อาจแสวงหาโมกขธรรมได้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงโปรดให้ทุกข์นั้นบรรเทาลง ด้วยตัวอย่างการมานะต่อสู้ในอดีตชาติของพระองค์เอง
มหาวีลวะชาดก พาราณสีนครใหญ่ แข็งแกร่งและร่มเย็นดุจกันกับมหานทีที่โอบพระนครไว้ด้วยความรัก ชาวเมืองทุกวรรณะล้วนรักและศรัทธาในตัวมหาราชของเขายิ่งชีพ ทุกคนแซ่ซ้องนาม “มหาสีลวราช” ด้วยความเคารพจากใจเสมอ ด้วยจิตใจที่เปี่ยมเมตตาของพระราชา เป็นเหตุให้อำมาตย์คนหนึ่งในพระราชวังเหิมเกริม มิกลัวเกรงต่อกฎมณเฑียรบาลต่างๆ ในพระราชวงศ์ ถึงขั้นบุกรุกเข้าไปในพระราชวังชั้นในเสมอ แม้จะถูกจับได้หลายครั้งก็ไม่กลัวเกรง
อำมาตย์นั้นแทนที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ละเว้นโทษประหาร กลับเคียดแค้นโกรธเคือง อำมาตย์ผู้นี้พกความแค้นพาเมียสาวเดินทางข้ามน้ำข้ามภูเขาหลายวัน แล้วก็มาถึงนครโกศลซึ่งมีพรมแดนติดกัน เขาได้รับ ความช่วยเหลือจากสหายเก่าซึ่งเป็นเสนาบดีทหารจนสามารถได้เข้ารับราชการในแคว้นโกศลได้สำเร็จ
อำมาตย์ชั่วเมื่อได้เข้าเฝ้าพระเจ้าโกศลหลายครั้งก็ทำการยุแหย่จนพระองค์หลงเชื่ออยากก่อสงครามยึดพาราณาสีมา เป็นของตนทุกครั้งไป แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนของพระเจ้าโกศล โจรปลอมทั้งหมด ถูกทหารพาราณสีจับกุมตัวปพบมหาสีลวะได้ในวันหนึ่ง พวกโจรพากันกลับมากราบทูลให้พระเจ้าโกศลทรงทราบถึงน้ำพระทัยอันดีงามของมหาสีลวะ
กองทัพแคว้นโกศลกรีฑาพลเข้าประชิดเมืองพาราณาสีอย่างรวดเร็ว ด้วยหมายมั่นเอาราชสมบัติทุกอย่างของมหาสีลวะมาครอบครอง ทางด้านของมหาสีลวราชเมื่อทรงทราบถึงสงครามที่มาถึงเมือง ก็มิได้ทรงกลัวเกรงหรือโกรธาแต่อย่างใด ด้วยน้ำพระทัยอันดีงามพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ทหารออกไปรบล้างผลาญชีวิตกัน กลับเปิดประตูเมืองมอบบัลลังค์ให้โดยดุษฏี
กลางดึกคืนนั้นกรุงพาราณาสีก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่มากไปด้วยความโลภของพระเจ้าโกศล และความสะใจของอำมาตย์แก่ลามกที่สามารถแก้แค้นมหาสีลวะได้
แต่ในป่าช้าที่เหล่าทหารและมหาสีลวะถูกจับมาฝังไว้นั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อฝูงสุนัขป่ามากมายรายล้อมเข้ามาเพื่อหวังกัดกินคนเหล่านี้เป็นอาหาร
แต่เมื่อพวกหมาป่าเจอแผนขับไล่นี้หลายครั้งเข้าไอ้ตัวจ่าฝูงมันก็รู้ว่าศีรษะไหนเป็นผู้นำ มันจึงตั้งใจเล่นงานทำร้ายคนนั้นก่อนตามวิธีของสัตว์ป่า เจ้าสุนัขหัวหน้าฝูงสอดปากเข้าใต้พระหนุ พริบตานั้น มหาสีลวราชก็ทรงกดพระหนุหนีบหัวสุนัขไว้ด้วยพละกำลังทั้งหมด
เสียงร้องของหัวหน้าฝูง ทำให้ฝูงสุนัขหนีเข้าป่าไปหมดในพริบตาตามด้วยไอ้ตัวหัวหน้า ทิ้งไว้แต่รอยตะกุยดินที่ฝังร่างมหาราชไว้ ซึ่งได้กลายเป็นหลุมกว้างจนทรงขยับพระวรกายขึ้นมาได้สำเร็จ
อีกด้านหนึ่งของป่าช้า ยักษ์ 2 ตนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งความตายนี้ มันตกลงแบ่งเขตอาหารกันไว้ชัดเจน แต่ในคืนนี้มีผู้นำศพมาทิ้งไว้ตรงเส้นแบ่งเขตพอดี จึงเกิดปัญหาไม่สามารถตกลงกันได้ ยักษ์ตนหนึ่งสำแดงฤทธิ์ไปยังพระราชวังอึดใจเดียวก็เหาะกลับมาพร้อมพระขรรค์คู่บัลลังค์ พระมหาสีลวราชทรงจัดการผ่าศพเป็นสองส่วน แบ่งให้ยักษ์ 2 ตนอย่างเท่าเทียมกัน แล้วยักษ์ทั้งสองตนก็พาองค์มหาราช และขุนทหารทั้งหมดกลับกรุงพาราณสีส่งองค์มหาราชกลับสู่ห้องบรรทมในราตรีนั้นเอง
พระมหาสีลวราชทรงนำพระขรรค์วางบนวรกายของพระเจ้าโกศลเพื่อปลุกให้ตื่น ซึ่งเมื่อพระเจ้าโกศลทรงตื่นบรรทมก็ตกพระทัย พระมหาสีลวราชตรัสเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าเมืองพระเจ้าโกศลฟัง เมื่อทรงทราบ เรื่องราวแล้วพระเจ้าโกศลก็ทรงเสียพระทัย ว่าตัวเองเป็นมนุษย์แต่กลับไม่รู้คุณความดีของพระองค์ สู้ยักษ์ซึ่งกินซากศพเป็นอาหารก็ไม่ได้ ช่างน่าละอายยิ่งนัก
พระมหาสีลวราชเมื่อทรงรับราชสมบัติปกครองพาราณสีกลับคืนมา ก็ทรงรำพึงอานุภาพความมานะต่อสู้ครั้งนี้ว่า เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเทศนาชาดกจบแล้ว ภิกษุผู้ท้อถอยความเพียร ก็มีกำลังใจบังเกิดปีติเข้าถึงพระธรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น