วัดกลางคลองข่อย
อยากให้อ่าน
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อรูปเหมือน
สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมฺรํสี
เพิ่อประดิษฐาน ณ.ใต้ต้นโพธิ์
วัดกลาง ต.คลองข่อย อ.โพธาราม
ราชบุรี 70120
วันเสาร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑
เวลา ๑๔.๓๐ น.
สนใจร่วมบุญติดต่อ
พระวุฒิชัย กิตฺติชโย 083-059-9480
หรือ
บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย สาขา โพธาราม
708 -
อานิสงส์การสวดมนต์ข้ามปีเพื่อทรงจำและสืบต่อคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์โดยตรง โดยพระสงฆ์สาวกสมัยพุทธกาลได้นำพระสูตรต่างๆ มาสวดสาธยายในรูปแบบการบริกรรมภาวนา ให้เกิดเป็นสมาธิ จึงเรียกว่า พระพุทธมนต์ การเจริญพระพุทธมนต์มีจุดกำเนิดมาจาก การศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์
เมื่อบริกรรมภาวนาพระพุทธพจน์จนจิตเป็นสมาธิ ย่อมเกิดพลานุภาพในด้านต่างๆ เช่น ทำให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นในชีวิต จิตใจไม่ดีก็จะดี ชีวิตไม่ดีก็จะดี สุขภาพไม่ไก้ก็จะดี หน้าที่การงานไม่ดีก็จะดี ครอบครัวไม่ดีก็จะดี ในขณะเดียวกันก็ต้านทานสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต ต่อมาจึงมีผู้นิยมนำพระพุทธพจน์มาใช้เป็นพระพุทธมนต์เพื่อต้านทานสิ่งไม่ดีทั้งหลาย พระพุทธมนต์จึงถูกเรียกว่า “พระปริตร” แปลว่า เครื่องต้านทาน ป้องกัน รักษา ต่อมาภายหลัง พระพุทธมนต์ที่มีอานุภาพในการต้านทาน คุ้มครอง ป้องกัน รักษา จึงถูกเรียกว่า พระปริตร ตามไปด้วย
การศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์ในครั้งพุทธกาลนั้น ใช้วิธีเรียนแบบบอกปากต่อปาก แล้วท่องจำสวดสาธยายต่อๆ กันมาเรียกว่า มุขปาฐะ วิธีเล่าเรียนพระพุทธพจน์ที่เรียกว่ามุขปาฐะนี้ พระสาวกใช้มาตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ โดยพระสงฆ์ในสมัยนั้นแบ่งหน้าที่กันท่องเป็นหมู่คณะตามความถนัด เช่น
๏ พระอุบาลีเถระทำหน้าที่ทรงจำพระวินัย ภิกษุผู้สนใจเกี่ยวกับพระวินัยก็เรียนพระวินัยจากพระอุบาลีเถระ
๏ พระอานนท์เถระทรงจำพระสูตร ภิกษุผู้สนใจเกี่ยวกับพระสูตรก็เรียนพระสูตรต่อจากพระอานนท์เถระ
๏ พระสารีบุตรเถระทรง จำพระอภิธรรม ภิกษุผู้สนใจเกี่ยวกับพระอภิธรรมก็เรียนพระอภิธรรมต่อจากพระสารีบุตรเถระ แล้วก็ร่วมกันสวด สาธยายเป็นหมู่คณะๆ ตามโอกาส แม้ที่พักอาศัยก็จะอยู่รวมกันเป็นคณะ เพื่อสะดวกต่อการร่วมกันสวดสาธยายพระพุทธพจน์ที่ตนถนัด
การสืบต่อพระพุทธพจน์ด้วยวิธีท่องจำยังปรากฏว่า ครั้งหนึ่ง พระเถระรูปหนึ่งชื่อว่าโสณกุฏิกัณณะเดินทางจากชนบทห่างไกลมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงรับสั่งให้พระเถระพักอยู่ในพระคันธกุฎีเดียวกับพระองค์ พอตกดึก จึงให้ท่านสวดพระสูตรให้สดับ พระเถระสวดพระสูตรให้พระพุทธองค์ สดับถึง ๑๖ สูตรก็พอดีสว่าง และเมื่อพระพุทธองค์ประชวรก็ได้ให้ พระ มหาจุนทะสวดโพชฌงคสูตรให้สดับ จนหายจากอาการประชวร
นอกจากนั้น ในพระวินัยปิฎกยังระบุว่า ในอาวาสที่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่มากรูป จะต้องให้มีพระภิกษุสวดปาติโมกข์ คือ การสวดทบทวนศีล ๒๒๗ ข้อของพระสงฆ์ได้หนึ่งรูปเป็นอย่างน้อย หากไม่มีจะต้องขวนขวายส่งไปเรียนยังสำนักที่มีผู้สวดได้ หาก ไม่ทำเช่นนั้นก็จะปรับอาบัติแก่เจ้าอาวาสเพราะโทษที่ไม่ใส่ใจจะให้มี ผู้ทรงจำพระปาติโมกข์ แสดงให้เห็นว่าสมัยพุทธกาลนั้นได้มีการนำ พระพุทธพจน์มาท่องบ่นสาธยายกันอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ลำดับพระเถระที่สืบต่อพระพุทธพจน์ ในสมันตปาสาทิกา คัมภีร์อรรถกถาอธิบายพระวินัยปิฎกได้ แสดงลำดับพระเถระที่สืบต่อพระวินัยตั้งแต่พระอุบาลีเถระจนถึง สังคายนาครั้งที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีลำดับพระเถระ ๕ ท่าน ดังนี้
๏ พระอุบาลีเถระ ทรงจำไว้เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า
๏ พระทาสกะ ทรงจำต่อจากพระอุบาลีเถระ
๏ พระโสณกะ ทรงจำต่อจากพระทาสกะ
๏ พระสิคควะ ทรงจำต่อจากพระโสณกะ
๏ พระโมคคัลลีบุตรติสสะ ทรงจำต่อจากพระสิคควะ
นอกจากนั้น เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ พระสารีบุตร เถระได้มีการริเริ่มจัดหมวดหมู่พระพุทธพจน์ไว้เป็นแบบอย่างแล้ว เพื่อสะดวกแก่การทรงจำ จนเกิดพระสูตรๆ หนึ่งชื่อสังคีติสูตร แปลว่า พระสูตรว่าด้วยการสังคายนา หรือพระสูตรว่าด้วยการจัดระเบียบ คำสอนนั่นเอง ภายหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ ๓ เดือน ได้มีการจัดระเบียบแบบแผนการทรงจำคำสอนใหม่อย่างเป็นระบบ เรียกว่า การสังคายนา โดยพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป มีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน และได้มีมติจะรักษาพระพุทธพจน์ที่จัดระเบียบไว้แล้วด้วยวิธีมุขปาฐะ หรือวิธีท่องจำ ภายหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานประมาณ ๔๕๐ ปี จึงได้มีการบันทึกพระพุทธพจน์เป็นตัวหนังสือที่ลังกาทวีป สาเหตุมาจากบ้านเมืองมีความผันผวนอันเกิดจากภาวะสงครามจึงยากแก่การทรงจำพระพุทธพจน์ การสวดมนต์และอานุภาพแห่งการสวดมนต์พระพุทธพจน์นั้น ดำรงอยู่ในรูปคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่พระสงฆ์สาวกทรงจำไว้และสืบต่อมาเพื่อนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์ แต่หากพระพุทธพจน์ถูกนำมาใช้สำหรับเป็นบทบริกรรมภาวนาหรือสวด สาธยายตามความเหมาะสมแก่โอกาส พระพุทธพจน์จึงถูกเรียกว่า พระพุทธมนต์ เมื่อพระพุทธมนต์อาศัยจิตที่เป็นสมาธิเกิดอานุภาพในการต้านทาน คุ้มครอง ป้องกัน รักษา พระพุทธมนต์ก็ถูกเรียกว่า พระปริตรตามอานุภาพแห่งการต้านทานไปด้วย ปัจจุบันจึงมีผู้นิยมเรียก พระปริตรแทนพระพุทธมนต์กันอย่างกว้างขวาง การนำพระพุทธพจน์มาเจริญภาวนา ในรูปแบบการเจริญพระ พุทธมนต์ จนเกิดอานุภาพในการต้านทานนั้น มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เช่น พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุสวดขันธปริตรเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้าย และทรงห้ามเรียนเดรัจฉานวิชา ซึ่งเป็นวิชาที่ขวางการบรรลุธรรม แต่เรียนพระพุทธมนต์เพื่อ คุ้มครองป้องกันตนได้
บทสวดมนต์ที่มีพลานุภาพ
ในการคุ้มครอง ป้องกัน รักษา
พระพุทธมนต์จะทรงพลานุภาพในการต้านทาน คุ้มครอง ป้องกัน รักษาได้ ต้องอาศัยจิตที่อ่อนโยนมีเมตตา เป็นสมาธิมั่นคง แน่วแน่เป็นหลักการที่สำคัญ พระพุทธพจน์ที่นำมาเป็นพระพุทธมนต์นั้น บางสูตรพระพุทธองค์ทรงใช้สวดเอง บางสูตรทรงแนะนำให้พระสงฆ์สาวกใช้ บางสูตรเทวดาเป็นผู้ นำมาแสดง
โพชฌงคสูตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธองค์สวดให้พระมหากัสสปะ และมหาโมคคัลลานะฟังจนหายจากเป็นไข้ไม่สบายและเมื่อ พระองค์ประชวรก็ได้ให้พระมหาจุนทะสวดโพชฌงคสูตรให้สดับจนหายจากอาการประชวร
กรณียเมตตสูตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำภิกษุ ให้แผ่เมตตาจิตไปในมวลสรรพสัตว์ ตลอดจนเทพเทวาภูติผีปีศาจทั้งหลาย ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต ไม่จำกัดว่าสัตว์นั้นหรือเขาผู้นั้นจะเกี่ยวข้อง กับเราหรือไม่ นอกจากเทวดาจะไม่แสดงสิ่งที่น่ากลัวหลอกหลอนแล้ว ยังมีใจอนุเคราะห์ภิกษุโดยไมตรีจิตด้วยความอ่อนโยนมีเมตตา
รัตนสูตร เป็นพระสูตรที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้พระอานนท์เถระน้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และ สังฆรัตนะแล้วทำสัจกิริยา คือ การตั้งสัจอธิษฐานตามความเป็นจริง เป็นหลักการที่สำคัญ ของการเจริญพระพุทธมนต์ ที่จะทำให้เกิดอานุภาพ ให้เกิดเป็นอานุภาพขจัด ปัดเป่าภัยพิบัติที่เกิดแก่ชาวเมืองเวสาลี ภายหลังได้กลายเป็นแบบอย่างใน การทำน้ำพระพุทธมนต์สำหรับพระสงฆ์สาวกต่อมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนั้น ยังปรากฏในประวัติพระองคุลิมาลเถระว่า พระพุทธองค์ ทรงแนะนำให้พระองคุลิมาลเถระทำสัตยาธิฐานเพื่อให้ หญิงคนหนึ่งคลอดบุตรง่าย เมื่อพระเถระกล่าวคาถาจบทารกก็คลอด โดยง่าย มีความปลอดภัยทั้งแม่และลูก อานุภาพนั้นได้คุ้มครองไปถึงผู้ที่ ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ด้วย
สำหรับอาฏานาฎิยสูตร เป็นคาถาที่ท้าวจาตุมหาราชผูกขึ้นมา แสดงแก่พระพุทธองค์ เพื่อให้ภิกษุสวดป้องกันเหล่าอมนุษย์บางพวกที่ ไม่หวังดีต่อพระสงฆ์สาวกที่ไปบำเพ็ญเพียรอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร เมื่อ ไม่มีอะไรป้องกัน เหล่าอมนุษย์ที่ไม่เลื่อมใสก็จะรบกวนเบียดเบียนให้ ได้รับความลำบาก ท้าวมหาราชจึงได้แสดงเครื่องป้องกันรักษาชื่อ อาฏานาฏิยรักษ์นี้ไว้ พระพุทธมนต์ตามที่กล่าวมานั้น จะมีอานุภาพต้องอาศัยการสวดอย่างสม่ำเสมอจนจิตแน่วแน่มั่นคงเป็นสมาธิเป็นพื้นฐานที่สำคัญ
การเจริญสมาธิภาวนาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ย่อมมีพลานุภาพในการต้าน ทานสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ในเบื้องต้นสามารถต้านทานกิเลสภายในตัวเองก่อน แล้วขยายอานุภาพออกไปสู่การต้านทานสิ่งไม่เป็นมงคลอันเกิดจากมนุษย์ และอมนุษย์ที่เป็นพาลสันดานหยาบทั้งหลาย ในขณะเดียวกันก็เป็นพลัง แห่งการก่อเกิดสิ่งดีงาม คือ ความอ่อนโยนมีเมตตาเอื้ออาทรภายในตน เองก่อน แล้วขยายอานุภาพกว้างออกไปสู่การก่อเกิดสิ่งอันเป็นมงคลภายนอกทั้งหลาย ทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ประสบผลสำเร็จในสิ่งปรารถนาทุกประการ ใ
ในอรรถกถาคัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎก ได้แสดงวิธีการเจริญ พระพุทธมนต์ไว้ว่า
หากเรียนด้วยความตั้งใจจนเกิดความช่ำชองคล่องปาก ไม่ตกหล่นทั้งอรรถและพยัญชนะ มีจิตประกอบด้วยเมตตาหวังให้ผู้คน พ้นจากทุกข์ บริกรรมพระพุทธมนต์แผ่เมตตาไปไม่เห็นแก่ลาภ ย่อมจะ บังเกิดเป็นอานุภาพคุ้มครองป้องกันเหล่าอมนุษย์และสรรพอันตรายทั้งหลาย
สำหรับผู้เจริญพระพุทธมนต์ และผู้ฟังการเจริญพระพุทธมนต์ หากกระทำด้วยจิตเลื่อมใส ไม่มีกิเลสมาครอบงำจิต ไม่มีกรรมหนัก มาตัดรอน อีกทั้งยังไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย พระพุทธมนต์ย่อมจะมีอานุภาพ ในการบำบัดทุกข์โศกโรคภัย ความเจ็บป่วยไข้ และสรรพอันตรายทั้งหลายได้ สามารถดับความเร่าร้อนกระวนกระวายใจ ขจัดลางร้ายและฝันร้ายทั้งหลาย ปัดเป่าเสนียดจัญไร อุบัติเหตุ สิ่งอัปมงคลอันเกิดจาก บาปเคราะห์ ฤกษ์หามยามร้ายและสิ่งที่ไม่พึงพอใจต่างๆ ป้องกันแม้ โจรภัย อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย อสรพิษ สัตว์ร้าย อมนุษย์ ภูตผีปีศาจ ยักษ์ นาค คนธรรพ์ และเทวดาที่ไม่หวังดีทั้งหลาย คุ้มครอง ป้องกันรักษาให้ปราศจากทุกข์โศกโรคภัยนานาประการ แคล้วคลาด ปลอดภัย จากผู้จองเวรที่คอยจ้องผลาญ นอนหลับก็สบายไม่ฝันร้าย เป็นผู้ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาตลอด กาลทุกเมื่อ
พระพุทธมนต์ที่สวดด้วยจิตเลื่อมใสเป็นสมาธิแน่วแน่ ย่อม แผ่อานุภาพคุ้มครองป้องกันตลอดทั้งหมู่ญาติ พวกพ้องและบริวารทั้งหลาย
เหตุที่ต้องสวดมนต์เป็นภาษาบาลี
การเจริญสมาธิภาวนา คือ การที่จิตผูกหรือเพ่งอยู่กับคำใดคำหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น พุทโธ พุทโธ, พองหนอ-ยุบหนอ, สัมมา-อะระหัง เป็นต้น ให้จิตเกาะเกี่ยวไหลไปตามกระแสของคำนั้นๆ เพื่อเป็นสื่อให้จิตเข้าถึงความสงบ มีค่าเท่ากับจิตผูกเพ่งอยู่กับการสวดมนต์ที่จิตเกาะเกี่ยวไปกับทุกอักระของบทสวดมนต์
จิตที่ไหลไปเป็นกระแสตามทุกอักขระเช่นนี้ ไม่เปิดโอกาสให้นิวรณ์ ๑ คือ สิ่งที่ขวางกั้นจิตไม่ให้ทำความดี เช่น ความรักโลภ โกรธหลง กามราคะ อาฆาตพยาบาท หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญ เบื่อหน่ายแทรกเข้ามาครอบงำจิตได้ ทำให้จิตมีความผ่องใส เป็นจิตมีพลังในการต้านทานกิเลสที่จะเข้ามามีอำนาจเหนือสติปัญญา มีความฉับไวต่อการรับรู้อารมณ์ และคมต่อการแยกแยะความถูกผิด
การสวดมนต์ คือ การเจริญสมาธิภาวนา
การเจริญพระพุทธมนต์ เป็นรูปแบบของการเจริญสมาธิภาวนาอย่างหนึ่ง แต่แทนที่จะใช้วิธีนั่งบริกรรม ให้จิตเกาะเกี่ยวอยู่กับคำใดคำหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เช่น พุทโธ พุทโธ เป็นต้น เพื่อเป็นสื่อให้เข้าถึงความสงบ ก็ใช้วิธีให้จิตเกาะเกี่ยวไปกับอักขระเป็นกระแสเช่นนี้ ไม่ปล่อยให้ความ รักโลภโกรธหลง กามราคะ อาฆาตพยาบาทได้โอกาสแทรกเข้ามา ครอบงำจิต ทำให้จิตมีความผ่องใสเป็นจิตมีพลังในการต้านทานกิเลสที่จะ เข้ามามีอำนาจเหนือสติปัญญา จิตเช่นนี้เป็นจิตสงบ คือ สงบจากกาม ราคะ อาฆาตพยาบาท หงุดหงิดฟุ้งซ่าน รำคาญ เบื่อหน่าย จึงชื่อว่า “จิตเป็นสมาธิ”
การสวดมนต์คือการทรงจำพระพุทธพจน์
การสวดมนต์ คือ การท่องบ่นสาธยายพระพุทธพจน์ ซึ่งถูกบันทึกไว้เป็นภาษาบาลี เพื่อการทรงจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ยืนยาวสืบต่อไปการสวดมนต์ในอีกด้านหนึ่งก็คือการเจริญสมาธิภาวนาที่ได้นำเอาพระพุทธพจน์มาเป็นบทบริกรรมภาวนา ให้จิตเกาะเกี่ยวไปกับทุกขณะของอักขระที่กำลังสาธยาย ไม่ปล่อยให้ นิวรณ์แทรกเข้ามาทำให้จิตเศร้าหมองได้นั่นเอง
พระสงฆ์สาวกสมัยพุทธกาล นอกจากจะมีหน้าที่ในการเจริญสมาธิภาวนาเพื่อนำตนออกจากทุกข์แล้ว ยังมีภาระหน้าที่ในการทรงจำพระพุทธพจน์ เพื่อสืบต่อคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ควบคู่กันไปอีกด้วย พระสาวกสมัยพุทธกาลจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญยิ่งที่จะต้องท่องบ่น สาธยายพระพุทธพจน์ เพื่อรักษาคำสอนของพระพุทธองค์เป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็ต้องเร่งความเพียรเพื่อนำตนออกจากทุกข์ในสังสารวัฏ จึงหาวิธีที่จะ ทรงจำพระพุทธพจน์ให้เป็นกิจกรรมในการดำเนินชีวิตควบคู่ไปกับการ เจริญสมาธิภาวนา
การเจริญพระพุทธมนต์ ที่ต้องสวดเป็นภาษาบาลีเพราะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาพระพุทธพจน์ ซึ่งกระทำควบคู่ไปกับการเจริญสมาธิภาวนา เป็นกิจวัตรในการดำเนินชีวิตของพระสงฆ์สาวกในสมัยพุทธกาล ที่ถ่ายทอด สืบต่อมาสู่พระสงฆ์สาวกในยุคปัจจุบัน
การสวดมนต์ช่วยให้เกิด การจัดระบบความสมดุลทางกายและจิต
การสวดมนต์ช่วยปรับความสมดุลทางกายและทางจิตเป็นการสร้างความสงบเยือกให้กับจิต ทำให้ความเครียดที่มีอยู่สลายลงได้ แล้วความรู้สึกดีๆ ของจิตสำนึกก็จะเกิดขึ้นมาแทนที่
เมื่อจิตสงบนิ่ง เย็นสบาย ย่อมทำให้ร่างกายสบายขึ้นตามไปด้วย เพราะลมหายใจที่สูดเข้าไปในขณะเปล่งเสียงสวดมนต์ จะทำให้ปอดขยายในจังหวะที่พอเหมาะสม่ำเสมอ เพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ทำให้ผิดพรรณเปล่งใบหน้าเอิบอิ่มตามไปด้วย ในขณะเดียวกันก็ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอวัยวะทุกสัดส่วนไม่เกรง เป็นการผ่อนคลายระบบประสาททุกสัดส่วนของร่างกาย ทำให้ลดความตึงเครียดลงได้
ผู้ที่สวดมนต์เป็นปกติ จะลดอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นเส้นเลือดในสมองแตก เพราะจิตที่สงบนิ่งราบเรียบจะจัดความสมดุลของเส้นเลือดในสมองให้เกิดความสมดุล เนื่องจากหัวใจไม่เต้นแรงผิดธรรมชาติ ทำให้การสูบฉีดเลือดในหัวเป็นปกติ แม้จะตกอยู่ในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน
อานิสงส์ของการสวดมนต์
จิตที่สงบราบเรียบละเอียดอ่อนจากการสวดมนต์ จะทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดที่เปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งความดีงาม ย่อมส่งผลดีต่อร่างกายได้ จิตที่สงบสุขย่อมอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากความอ่อนแอ ในขณะเดียวกันร่างกายที่มีโรคภัยไข้เจ็บ ย่อมจะทำให้จิตใจอ่อนแอตามไปด้วย ผู้ที่สวดมนต์เป็นประจำ มักจะมีสุขภาพที่ดีภายใต้จิตใจที่เบิกบานแจ่มใส อยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข การสวดมนต์เป็นประจำมีอานิสงส์ ดังนี้
๏ ทำให้เป็นคนไม่เคร่งเครียด หากความเคียดเกิดขึ้นก็จะคลายลงได้ จนกระทั่งความเครียดนั้นจางหายไปในที่สุด
๏ ทำให้จิตใจสงบนิ่งเยือกเย็น ผู้ที่มีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เสมอ การสวดมนต์จะช่วยให้ความเร่าร้อนทางอารมณ์ที่โหมไปด้วยเพลิงโทสะ เพลิงโมหะ เพลิงอิจฉาริษยาลดลงได้ ทำให้เป็นสุภาพชนที่มีลักษณะสุขุมเยือกเย็น ภายใต้จิตใจที่อ่อนโยนงดงาม
๏ ทำให้หลับสบายตื่นก็เป็นสุข ผู้ที่นอนหลับยาก การสวดมนต์จะช่วยปรับความสมดุลทางจิตให้ก้าวลงสู่ความหลับอย่างสบายไม่กระสับกระส่าย เพราะจิตใจไม่แปรปรวน ตื่นขึ้นมาก็สดชื่นไม่ง่วงซึม
๏ ทำให้อาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารหมดไป ความเครียดทำให้เกิดระบบทางเดินอาหารผิดปกติ เพราะน้ำย่อยหรือน้ำดีจะหลั่งออกมาจากตับแล้วทำให้ระคายเคืองผนังกระเพราะอาหาร ผู้ที่มีเครียดมักจะปวดท้อง หรืออาเจียน
การสวดมนต์ช่วยให้ลดระดับการเกร่งของประสาททุกส่วนในร่างกาย จึงทำให้ความเคียดลดลง และทำให้อาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารหายไปด้วย เมื่อไม่มีความเครียดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารก็หมดไป เท่ากับว่าการสวดมนต์ช่วยปรับความสมดุลของระบบทางเดินอาหารในกระเพาะ
๏ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่การงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากร่างกายมีสุขภาพดี จิตใจก็ย่อมปลอดโปร่งมีความสุข จิตใจที่ปลอดโปร่งย่อมทำงานได้ผลอย่าง มีประสิทธิภาพ
๏ ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ผู้ที่มีจิตปลอดโปร่งเป็นสมาธิ ย่อมมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ มากมาย
๏ ครอบครัวมีความสุข มีอนาคต เป็นทรัพยากรบุคคลของชาติที่มีค่ายิ่ง ประเทศชาติจะกว้าไปข้างหน้าด้วยดีทุกวิถีทาง คนที่มีคุณงามความดีขนาดนี้แล้ว เรื่องที่ไม่ดีย่อมจะไม่มีให้เห็นได้เลย เพราะการสวดมนต์บำบัดนั้นมีผลดีมากมายและแปลกประหลาด ๏ ผู้คนก็เมตตาเทวดาก็รัก เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จะอยู่ที่ไหน เทวดาก็ให้การคุ้มครองรักษา
สวดมนต์เป็นปกติ จะลดอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นเส้นเลือดในสมองแตก เพราะจิตที่สงบนิ่งราบเรียบจะจัดความสมดุลของเส้นเลือดในสมองให้เกิดความสมดุล เนื่องจากหัวใจไม่เต้นแรงผิดธรรมชาติ ทำให้การสูบฉีดเลือดในหัวเป็นปกติ แม้จะตกอยู่ในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน
มาอ่านพระไตรปิฎกกันเถิด
พระไตรปิฎก
เป็นที่เก็บรวบรวมพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงค้นพบและประกาศไว้เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ สมัยก่อนตอนเริ่มแรก ที่พระองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไม่นาน ไม่ได้มีการบันทึกหรือจารึกพระไตรปิฎกในรูปอักษรเขียน แต่เป็นการถ่ายทอดในแง่ของการบอกกล่าวแบบปากต่อปากจากรุ่นสู่รุ่น แล้วจำสิ่งที่ได้รับการบอกกล่าวไว้ เรียกว่ามุขปาฐะ และเริ่มมีการบันทึกพระไตรปิฎก ลงเป็นลายลักษณ์อักษร ลงใน ใบลาน เมื่อพ.ศ. ๔๕๐ ในคราวที่มีการสังคายนา พระไตรปิฎกครั้งที่ ๔ ที่ประเทศศรีลังกา (รายละเอียดเรื่องพระไตรปิฎกขอให้ไปอ่านที่ พระไตรปิฎก : สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้)
ความสำคัญของพระธรรม
พระธรรมนั้นมีความสำคัญอย่างที่สุดและประมาณมิได้
(รายละเอียดให้ไปอ่านที่
การระลึกถึงพระคุณของพระธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ความสำคัญของพระธรรมอีกนัยหนึ่งก็คือ พระธรรมเปรียบเสมือนตัวแทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระธรรมเปรียบเสมือนตัวแทนของพระองค์ ซึ่งก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ได้ตรัสบอกแก่เหล่าสาวกทั้งหลายว่า ให้พระธรรมเป็นตัวแทนของพระองค์ ดังพุทธพจน์ดังต่อไปนี้
พุทธพจน์
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า
“ดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่าปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอโดยกาลล่วงไปแห่งเรา"
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ประเสริฐสูงสุด เป็นบุคคลที่เป็นเอกของโลก ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน มีพระปัญญาอันสูงสุด เป็นสัพพัญญู พระญาณหยั่งรู้ของพระองค์นั้น ไม่มีขอบเขตของกาลเวลา ดังนั้นสิ่งที่พระองค์ตรัสย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์สูงสุด ดังนั้นเมื่อดูจากพุทธพจน์ จึงไม่ต้องสงสัยถึงความสำคัญอีกนัยหนึ่งของพระธรรม นั่นคือพระธรรมเปรียบเสมือนตัวแทนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นตัวแทนพระองค์นอกจากพระธรรมคำสั่งสอน
ขอให้ทุกท่านพิจารณาให้ดีว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังมีพระอรหันต์สาวก ซึ่งประกอบด้วย อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ เป็นเอหิภิกขุ ได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ ยังมีพระอรหันต์ที่ทรงคุณอันยิ่งใหญ่อีกมากมาย
พระมหากัสสปเถระ (เอตทัคคะในทางผู้ทรงธุดงค์)
พระอนุรุทธเถระ (เอตทัคคะในทางทิพยจักขุญาณ)
พระอานนท์เถระ (เอตทัคคะในทาง : เป็นพหูสูต, เป็นผู้มีสติ, เป็นผู้มีคติ, เป็นผู้มีความเพียร, เป็นพุทธอุปัฏฐาก)
พระอุบาลีเถระ (เอตทัคคะในทางผู้ทรงพระวินัย)
พระพากุลเถระ (เอตทัคคะในทางผู้มีอาพาธน้อย) ฯลฯ
ท่านเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้งนั้น แต่พระองค์ก็มิได้มอบหมายให้พระอรหันต์สาวกผู้ทรงคุณอันยิ่งบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นตัวแทนของพระองค์
ซึ่งแม้แต่ครั้งหนึ่ง ในเหตุการณ์ที่พระเทวทัตทูลขอปกครองสงฆ์จากพระผู้มีพระภาคเจ้า (อ้างอิง๒)
พระเทวทัตก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
“ พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระชราแล้ว
เป็นผู้เฒ่า แก่หง่อมแล้ว ล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว บัดนี้
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงขวนขวายน้อย
ประกอบทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่เถิด
ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า
ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองภิกษุสงฆ์ ”
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ ดูก่อนเทวทัต แม้แต่สารีบุตร และโมคคัลลานะ เรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะพึงมอบให้เธอ ผู้เช่นซากศพ ผู้บริโภคปัจจัย เช่นก้อนเขฬะเล่า ”
เมื่อดูจากพุทธพจน์ข้างต้นแล้ว ประเด็นที่กำลังอ้างอิงนั้นไม่ได้อยู่ในส่วนของพระเทวทัต แต่อยู่ในส่วนที่พระองค์กล่าวถึงในส่วนของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ซึ่งแม้แต่พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ พระองค์ก็ยังทรงไม่ได้มอบหมาย ให้ปกครองคณะสงฆ์
อย่างนั้นในเมื่อ ถ้าบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่สามารถจะเป็นตัวแทนของพระองค์ได้แล้ว แต่ถ้ารวมกลุ่มเป็นคณะ จะสามารถเป็นตัวแทนของพระองค์ได้หรือไม่ เช่นคณะสงฆ์พอจะเป็นตัวแทนพระองค์ได้หรือไม่ เพราะว่าพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณแต่ละองค์นั้นมีความโดดเด่น และชำนาญต่างๆกัน องค์นี้มีความสามารถโดดเด่นด้านตาทิพย์ องค์นี้มีความโดดเด่นด้านพระวินัย ฯลฯ ถ้าให้คณะสงฆ์ผู้เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เป็นเอตทัคคะด้านต่างๆรวมตัวกันเป็นสภา เพื่อเป็นตัวแทนพระองค์พอจะได้หรือไม่
ซึ่งคำตอบก็คือ “ ไม่ได้ ” เพราะแม้แต่คณะสงฆ์ พระองค์ก็มิได้มอบหมายหน้าที่ให้คณะสงฆ์เป็นตัวแทนของพระองค์หลังจากพระองค์ปรินิพพาน
แล้วถ้าเป็นคณะพระโพธิสัตว์ล่ะ สามารถจะเป็นตัวแทนพระองค์ได้หรือไม่ ในคัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวถึง มหาโพธิสัตว์ ๑๐ พระองค์ ที่บำเพ็ญบารมีอันยิ่งยวดมาตลอดเวลาอันยาวนาน จนถึงขั้นเป็นนิยตโพธิสัตว์ นั่นคือพระโพธิสัตว์เหล่านั้นจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนในอนาคตกาล นั่นหมายความว่าพระโพธิสัตว์เหล่านั้นมีบารมีอันยิ่งใหญ่ทั้ง ๓๐ ทัศ ใกล้จะครบบริบูรณ์ (ซึ่งใน ๑๐ องค์นั้นมีพระโพธิสัตว์รามเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ไม่ได้มีการกล่าวถึงในพระไตรปิฎกในส่วนของการได้มีโอกาสมาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม) ดังนั้นถ้าให้คณะพระโพธิสัตว์ตั้งเป็นสภา แล้วทำหน้าที่เป็นตัวแทนพระองค์ได้หรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คงเหมือนเดิมนั่นคือไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นพระองค์ก็ต้องแต่งตั้งไปแล้ว
ส่วนในความคิดของผู้เขียนแล้ว คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะ พระมหาโพธิสัตว์ทั้ง ๙ พระองค์นั้น เป็นมนุษย์ ๕ มาร ๑ สัตว์เดรัจฉาน ๒ อสูร ๑ และถึงแม้จะมีบารมีเยอะแต่ก็ไม่ได้อยู่ในวิสัยและยังไม่ถึงเวลาที่จะทำหน้าที่นั้นได้
สรุปแล้วในโลกต่างๆ ทั้งมนุษย์โลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก หรือไม่ว่าจะเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคณะใดคณะหนึ่ง หรือใครก็ตามนั้น ไม่มีใครเหมาะสมมีความสามารถพอจะรับหน้าที่เป็นตัวแทนพระองค์ภายหลังจากพระองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานได้ เพราะว่ามิฉะนั้นพระองค์ก็ต้องตรัสแต่งตั้งบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่งเป็นตัวแทนพระองค์ไปแล้ว พระองค์ย่อมรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ที่สุด สิ่งใดที่เหมาะจะเป็นตัวแทนของพระองค์ นั่นคือไม่มีใครเหมาะสมจะเป็นตัวแทนพระองค์มากกว่าพระธรรมคำสั่งสอน
ดังนั้นความสำคัญอีกนัยหนึ่งของพระธรรมนั้นเปรียบได้กับตัวแทนของพระองค์
พระธรรมนั้นเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเคารพ
พระองค์มิได้ตั้งพระธรรมเป็นตัวแทนของพระองค์เท่านั้น พระองค์ยังตั้งพระธรรมให้อยู่ในส่วนที่พระองค์เคารพ
พุทธพจน์
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อครั้งแรกตรัสรู้ เราพักอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา เมื่อเราเร้นอยู่ในที่สงัด เกิดปริวิตกขึ้นว่า บุคคลผู้ไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะ เคารพ พึ่งพิงสมณะ หรือพราหมณ์ผู้ใด อยู่เล่าหนอ เราตรองเห็นว่า เราจะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงสมณะ
หรือพราหมณ์อื่นอยู่ ก็เพื่อทำสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ของเราที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ ก็แต่ว่าเราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติยิ่งกว่าตนในโลกทั้งเทวโลก ทั้งมารโลก ทั้งพรหมโลก ในหมู่สัตว์ทั้งเทวดามนุษย์ ทั้งสมณพราหมณ์ ซึ่งเราจะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงอยู่ได้ดังนี้แล้ว
เราตกลงใจว่า อย่ากระนั้นเลย ธรรมใดที่เราตรัสรู้นี้ เราพึงสักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่เถิด ”
โดยที่หลังจากพระองค์พิจารณาดังนี้แล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมได้เสด็จมาหาพระองค์ และได้ทรงยืนยันในสิ่งที่พระผูมีพระภาคเจ้าพิจารณาว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ดูได้จากพุทธพจน์ต่อไปนี้
“ ครั้นแล้วสหัมบดีพรหมทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกเข่าข้างขวาลงที่พื้นดิน ประคองอัญชลีตรงมาทางเรา กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อที่พระองค์ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นถูกแล้ว ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้อที่พระองค์ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นชอบแล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้เหล่าใดที่มีมา
แล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็ได้ทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมอยู่เหมือนกัน พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้เหล่าใดที่จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็จักทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั่นแลอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลบัดนี้ ก็ขอจงทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั้นอยู่เถิด ”สหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว จึงกล่าวคำประพันธ์นี้ อีกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ล่วงไปแล้วก็ดี พระพุทธเจ้าเหล่าใดที่ยังไม่มาถึงก็ดี พระพุทธเจ้าพระองค์ใดผู้ยังความโศกของชนเป็นอันมากให้เสื่อมหายในปัจจุบันนี้ก็ดี พระพุทธเจ้าทั้งปวงนั้นเป็น ผู้ทรงเคารพพระสัทธรรมแล้ว ทรงเคารพพระสัทธรรมอยู่ และจักทรงเคารพพระสัทธรรม นี่เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล ผู้รักตน จำนงความเป็นใหญ่ ระลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงเคารพพระสัทธรรมเถิด
พระองค์ตั้งพระธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์ในเวลาที่พระองค์ไม่อยู่แล้ว แค่นี้ก็ไม่สามารถบรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของพระธรรมได้แล้ว แต่นี่พระองค์ไม่เพียงให้พระธรรมเป็นตัวแทนพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ได้พิจารณาและตั้งให้พระธรรมอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าพระองค์ อยู่ในส่วนที่พระองค์ยังเคารพพึ่งพิง เมื่อพิจารณาถึงประเด็นนี้แล้วยิ่งประจักษ์คุณของพระธรรมให้ชัดแจ้งยิ่งขึ้นไปอีก เพราะว่าแม้แต่พระองค์ผู้ซึ่งประเสริฐสูงสุดหาผู้ที่เปรียบมิได้ ยังเคารพและพึ่งพิงพระธรรม
อีกทั้งท้าวสหัมบดีพรหมก็ยังได้เสด็จมายืนยันในส่วนที่พระองค์พิจารณาว่า ไม่ใช่เฉพาะแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบันเท่านั้น แม้ในอดีต และอนาคต ก็จะทำในสิ่งนี้เช่นเดียวกัน
ดังนั้นอีกนัยหนึ่ง พระธรรมจึงอยู่ในส่วนที่พระองค์เคารพพึ่งพิงอยู่
(หมายเหตุ เมื่อกล่าวถึงประเด็นนี้แล้ว จึงขอแตกประเด็นสักเล็กน้อย ในเมื่อกล่าวถึงส่วนของสิ่งอันเป็นที่เคารพ เป็นที่พึ่ง ในประโยคที่พระองค์ได้พิจารณาว่า “บุคคลผู้ไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยำเกรง ย่อมอยู่เป็นทุกข์” แสดงว่าแม้แต่พระองค์ยังหาสิ่งที่พระองค์เคารพ ดังนั้นทุกท่านที่ยังไม่มีสิ่งใดเคารพ ไม่มีสิ่งใดยำเกรง น่าจะพิจารณาให้ดีว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นเหมาะสมหรือไม่ เพียงแต่การหาสิ่งใดที่เราจะนำมาเป็นที่เคารพ เป็นที่พึ่งของเรานั้น ก็ควรจะพิจารณาอย่างรอบคอบให้ดีเสียก่อน โดยหาสิ่งที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด เพราะว่า ในความคิดของผู้เขียน ถ้าบุคคลใดมีสิ่งอันเป็นที่เคารพ เป็นที่พึ่ง แต่ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผิด นำพาเราไปสู่ความพินาศ การไม่มีสิ่งที่เราเคารพพึ่งพิง ก็ย่อมดีกว่า ไปเคารพไปพึ่งในสิ่งที่จะนำเราไปสู่ความฉิบหาย)
ความสำคัญของพระไตรปิฎก
จากที่ได้กล่าวข้างต้นถึงคุณอันยิ่งใหญ่มากประมาณมิได้ของพระธรรมนั้น เพื่อจะบอกกล่าวกับทุกท่านถึงความยิ่งใหญ่ของพระธรรม เพื่อที่จะสามารถพิจารณาถึงส่วนต่อมาได้อย่างชัดเจน นั่นคือส่วนของสิ่งที่ทำหน้าที่เป็นสิ่งรวบรวมพระธรรมคำสั่งสอน นั่นคือพระไตรปิฎก
ถ้าจะพิจารณาให้ดีนั้น ตัววัตถุหรือสิ่งที่ทำหน้าที่ ไว้สำหรับเป็นที่อยู่ของตัวอักษรเพื่อบันทึกพระธรรม ล้วนๆนั้น อาจจะไม่ได้มีความสำคัญอะไร ถ้าเป็นพระไตรปิฎกที่จารึกบนใบลาน จริงๆแล้วก็จะเป็นแค่ใบลานธรรมดา ถ้าเป็นหนังสือพระไตรปิฎกก็จะเป็นแค่กระดาษกองหนึ่งเท่านั้น ยิ่งเป็นสมัยก่อนด้วยแล้ว พระไตรปิฎกอยู่ในความทรงจำของพระภิกษุที่แบ่งกันท่องจำกันมา(มุขปาฐะ) ก็จะเป็นแค่จิตกับสัญญาของผู้ที่ทำหน้าที่ท่องจำเท่านั้น แต่ความสำคัญอย่างสูงสุดของพระไตรปิฎกนั้นหาได้อยู่กับสิ่งที่พระไตรปิฎกบันทึกหรือจารึกอยู่บนสิ่งใดไม่ แต่กลับอยู่ในสิ่งที่กระดาษหรือใบลานเหล่านั้นบันทึกไว้ต่างหาก นั่นคือเป็นสิ่งที่จัดเก็บรวบรวมพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เปรียบเสมือนตัวแทนของพระองค์และเป็นสิ่งที่พระองค์เคารพ เมื่อกระดาษหรือใบลานเหล่านั้นได้ไปติดอยู่กับสิ่งล้ำค่าที่สุด กระดาษหรือใบลานเหล่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดไปโดยปริยาย
ถ้าเกิดมีใครตั้งใจเจตนาที่จะไปทำลายพระไตรปิฎกใบลานหรือเผาหนังสือพระไตรปิฎก ก็เหมือนกับไปทำลายสิ่งที่ทำหน้าที่เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอน ไปทำลายสิ่งที่เป็นโอกาสให้เหล่าสัตว์ได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน บาปหรือโทษก็จะเกิดขึ้นด้วยเหตุนั้น แล้วยิ่งถ้าเกิดสมัยก่อน สมมติมีใครไปฆ่าพระอรหันต์ที่ทำหน้าที่ท่องจำ(มุขปาฐะ)พระไตรปิฎกด้วยแล้ว ก็เหมือนกับไปทำลายสิ่งที่รวบรวมพระธรรมคำสอน และพระอรหันต์ในคราวเดียวกัน
ดังที่กล่าวมาแล้ว ความสำคัญของพระไตรปิฎกอยู่ที่การเป็นตัวบันทึกพระธรรมคำสั่งสอน แต่ถ้าจะแบ่งแยกให้ชัดเจน ก็อาจจะแบ่งได้เป็น ๒ ส่วนดังนี้
๑. คุณค่าทางโอกาส นั่นคือการที่สิ่งนั้นได้เป็นโอกาสให้สัตว์ได้อ่าน ตราบใดที่ยังมีหนังสือเล่มนี้หรือใบลานแผ่นนี้อยู่ สัตว์ก็ยังมีโอกาสอยู่เสมอ โอกาสที่คนจะหยิบมาอ่านก็ยังจะมีเสมอ ขอเพียงยังมีหนังสือที่บันทึกพระธรรมเล่มนี้อยู่ สัตว์ก็ยังมีความหวังอยู่
๒. คุณค่าอีกอย่างหนึ่งคือทำหน้าที่เป็นสื่อในการเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอน เมื่อมีคนใดคนหนึ่งหยิบหนังสือเหล่านั้นไปอ่านและเข้าใจเท่านั้น คุณค่าในข้อนี้จะปรากฏขึ้นมาในทันที โดยคุณค่าในข้อที่ ๒ นี้ จึงนับเป็นคุณค่าอย่างแท้จริง
แต่ในปัจจุบันนี้ คุณค่าที่เด่นชัดที่สุดของหนังสือพระไตรปิฎกส่วนมากจะเป็นคุณค่าในข้อที่ ๑ เท่านั้น นั่นคือเป็นเพียงแค่คุณค่าทางโอกาสเสียมากกว่า โดยปราศจากคุณค่าอย่างแท้จริงในข้อที่สอง จึงเป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก ถ้าปราศจากคนหยิบมาอ่านแล้วคุณค่าในข้อที่ ๒ จะไม่มีวันปรากฏขึ้นมาเลย เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ปัจจุบันนี้ ส่วนมากหนังสือพระไตรปิฎกจะอยู่ในตู้และถูกเก็บไว้อย่างดี แต่แทบจะไม่มีคนสนใจเลยแม้แต่น้อย การปล่อยให้พระไตรปิฎกทิ้งไว้อยู่ในตู้เฉยๆ จึงเป็นการเสียประโยชน์อย่างน่าเสียดายที่สุด ส่วนผู้คนที่ไม่ได้อ่าน ก็ไม่ได้รู้ว่าตนได้รับความสูญเสียทางโอกาสขนาดไหน เป็นความสูญเสียทางโอกาสแทบจะประมาณมิได้อยู่ทุกครั้งที่เดินผ่านโดยไม่ได้ใส่ใจที่จะหยิบมาอ่าน
ทำไมถึงต้องอ่านพระไตรปิฎก
การที่บุคคลหนึ่งจะได้เกิดมาในยุคที่มีพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ซึ่งขณะนี้มีสิ่งที่บันทึกพระธรรมคำสั่งสอนนั่นคือพระไตรปิฎกตั้งอยู่ข้างหน้าของท่านแล้ว ท่านจะปล่อยให้พระไตรปิฎกตั้งทิ้งไว้เฉยๆโดยไม่สนใจ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็นับว่าเป็นการสูญเสียทางโอกาสที่มากมายมหาศาลนับไม่ได้ทีเดียว
ท่านอาจจะไม่รู้หรอกว่าถ้าท่านได้อ่านพระไตรปิฎกเพียงหนึ่งธรรมบท อาจจะเปลี่ยนวิถีการเดินทางในวัฏสงสารของท่านประมาณไหน นักปรัชญาบางคนกล่าวว่า คำพูดเพียงหนึ่งคำ หรือประโยคจากหนังสือเพียงหนึ่งประโยคที่ท่านได้อ่าน อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตท่านทั้งชีวิต ส่วนพระธรรมอันล้ำค่านั้น ถ้าท่านได้อ่านพระไตรปิฎก แล้วศึกษาพระธรรมหนึ่งธรรมบทจนถ่องแท้ ผลของสิ่งนี้อาจจะเปลี่ยนวิถีการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของท่านขนาดไหน
(ตัวอย่างที่บางท่านได้ฟังธรรมเพียงครั้งเดียวนั้น สามารถยังความเจริญให้แก่ตนเองอย่างประมาณมิได้)
เอกธัมมสวนิยเถระ (ว่าด้วยผลแห่งการฟังธรรมครั้งเดียว) (อ้างอิง ๔)
ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ครั้งนั้นได้มีชฎิลผู้หนึ่ง เหาะอยู่ในอากาศ แต่แล้วชฎิลผู้นั้นไม่สามารถเหาะผ่านเหนือพระปทุมุตตระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ซึ่งลักษณะอาการเหมือนกับนก ที่เข้าไปใกล้ภูเขาแล้วก็มิอาจผ่านไปได้ ชฎิลผู้นั้นจึงนึกขึ้นว่า
“ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นกับเรามาเลย เราควรจะหาสาเหตุนั้น ”
จึงได้เหาะลงมาจากอากาศ เมื่อเหาะลงมาแล้ว ก็ได้พบกับพระผู้มีพระภาค และมีโอกาสฟังธรรม เมื่อพระศาสดาตรัสถึงว่าสังขารไม่เที่ยง ด้วยพระสุรเสียงที่น่ายินดี น่าฟัง กลมกล่อมขณะนั้น ชฎิลผู้นั้นได้เรียนถึง อนิจจลักษณะ ครั้นเรียนอนิจจลักษณะได้แล้ว ก็ไปสู่อาศรมของตน และก็อยู่ในอาศรมนั้นจนตราบเท่าสิ้นอายุขัย ขณะที่กำลังจะสิ้นอายุขัย ได้ระลึกถึงการฟังพระสัทธรรม ด้วยกรรมอันนั้นเมื่อละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รื่นรมย์อยู่ในเทวโลกถึง ๓ หมื่นกัปได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๕๑ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๑ ครั้ง
และได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณนานับมิได้ ได้เสวยบุญของตน ถึงความสุขในภพน้อยใหญ่เมื่อท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ก็ยังระลึกได้ถึงสัญญานั้น
จนมาถึงชาติหนึ่ง ได้มีโอกาสฟังธรรมจากสมณะผู้มีอินทรีย์อันอบรมแล้ว ท่านได้แสดงธรรมโดยยก อนิจจลักษณะขึ้นมาในธรรมกถานั้น
“ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความที่สังขารเหล่านั้น สงบระงับ เป็นความสุข ”
ท่านพระเอกธัมมสวนิยเถระได้กล่าวภาษิตเหล่านี้
“ เราจึงนึกถึงสัญญาขึ้นได้ทุกอย่าง เรานั่ง ณ อาสนะเดียว บรรลุอรหัตแล้ว เราได้บรรลุอรหัต โดยเกิดได้ ๗ ปี พระพุทธเจ้าทรงให้เราอุปสมบทแล้ว นี้เป็นผลแห่ง การฟังธรรม ย้อนหลังไปแสนกัป จากการที่เราได้ฟังธรรม
ในครั้งนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการฟังธรรม เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้ ”
ทุกท่านลองคิดดูเถิดว่า ในอดีตมีบุคคลหนึ่งได้ฟังธรรมเพียงครั้งเดียว แล้วนำสิ่งที่ได้ฟังนั้น มาสร้างความเจริญให้กับตนได้อย่างมากมายจนถึงที่สุดแห่งทุกข์
บ่อยครั้งที่ทุกท่านได้ยินได้ฟังพระเทศน์เรื่องต่างๆ หรือไม่ก็ได้อ่านบทความต่างๆที่ยกขึ้นมาซึ่งมีแหล่งที่มาจากพระไตรปิฎก ท่านก็จะได้ยินได้ฟังได้อ่านจากผู้อื่นเล่ามาอีกต่อหนึ่ง เปรียบก็เหมือนกับว่า ท่านได้ฟังคนๆหนึ่งที่มีโอกาสไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ แล้วก็นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเล่าให้ท่านฟังอีกต่อหนึ่ง ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่มีคนมาเล่าสิ่งที่พระองค์ตรัสมาเล่าให้ท่านฟัง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนเล่า แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าแล้วทำไมท่านถึงไม่ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยตรงเองเสียเล่า ทำไมต้องมาผ่านผู้คนอีกทอดหนึ่งเสียก่อน ก่อนที่จะมาถึงท่าน ท่านมีเวรกรรมอะไรหรือที่ทำให้ไม่สามารถไปเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยตรง ทำไมต้องผ่านคนอีกทอดหนึ่งก่อนที่จะมาถึงท่าน
ฉันใดก็ฉันนั้น ทำไมท่านไม่ไปอ่านพระไตรปิฎกโดยตรงเองเสียเล่า การอ่านพระไตรปิฎกโดยตรงก็เปรียบเหมือนกับการที่ท่านได้ไปพบกับพระองค์โดยตรง ไม่ต้องไปผ่านคนอื่น ได้ยินคนอื่นเล่าให้ฟังบางครั้งแล้ว ก็ควรจะไปอ่านเองโดยตรงเสียบ้าง ไม่ใช่คอยเอาแต่จะฟังคนอื่นมาเล่าต่ออีกทอดหนึ่ง
มิฉะนั้นท่านจะรู้ได้อย่างไรว่า คนอื่นที่มาเล่าให้ท่านฟังอีกต่อหนึ่ง ได้อ่านมาอย่างดี มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง ไม่ได้เข้าใจผิด ไม่ได้เล่าในสิ่งที่ได้อ่านมาผิด ไม่ได้นำความเป็นตัวเองมาปรุงใส่ก่อนมาเล่าให้ท่านฟัง ท่านจะไว้วางใจคนเหล่านั้นได้อย่างไร ถ้าท่านเคยเล่นเกมที่ให้คนสิบคนมาเรียงเข้าแถวต่อกัน แล้วให้กระซิบบอกข้อความแก่หัวแถวคนแรก โดยไม่ให้คนอื่นได้ยิน แล้วให้หัวแถวกระซิบบอกคนที่สองถัดไป เมื่อคนที่สองได้รับข้อความแล้ว ก็ให้คนที่สองกระซิบบอกต่อคนที่สาม ทำอย่างนี้ต่อๆกันไปจนถึงคนสุดท้าย โดยส่วนมากผลลัพท์ที่ออกมาถึงคนสุดท้ายก็จะผิดเพี้ยนเป็นอย่างมาก
ต่อให้ผู้นั้นไม่ได้เล่าผิด แต่เล่าไม่ครบ ก็นับว่าเป็นการเสียโอกาสเป็นอย่างมากที่ไม่ได้ฟัง ประโยคที่สมบูรณ์ ซึ่งอาจจะขาดในช่วงที่สำคัญมากก็เป็นไปได้
อีกทั้งชาวพุทธนั้นมีการเกี่ยวข้องกับพระในหลายเหตุการณ์ การเข้าวัดเพื่อเหตุผลต่างๆของชาวพุทธนั้นก็มีมากมาย และก็เป็นเรื่องปกติของชาวพุทธที่จะต้องเข้าวัด
ดังนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองควรจะศึกษาวินัยของพระให้ดี เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง ในกรณีที่ท่านจะต้องวางตัวอย่างไรเมื่อต้องไปเกี่ยวข้องกับพระ ซึ่งปัจจุบันนี้ชาวพุทธส่วนมากขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติ และแต่งตั้งไว้เป็นตัวแทนพระองค์
ถ้าท่านขาดการศึกษาให้ดี แทนที่ท่านจะเป็นส่วนหนึ่งในการอุปถัมภ์จรรโลงพุทธศาสนา ก็จะกลายเป็นว่าท่านเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนในการกระทำที่ขัดกับหลักธรรม เช่น พระห้ามทำน้ำมนต์ (อ้างอิง๕) เมื่อท่านได้ศึกษาแล้วก็จะได้ ไม่ไปขอให้พระทำน้ำมนต์ซึ่งเป็นเหตุให้พระผิดศีล
อีกทั้งยังสามารถตักเตือนบอกกล่าวกับผู้อื่น ถึงการกระทำที่ถูกต้องตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ด้วย เช่นถ้าหากญาติของท่านไปบวช การที่ท่านศึกษาก็จะทำให้รู้เรื่อง และสามารถแนะนำตักเตือนคนที่จะไปบวชได้เพื่อไม่ให้เขาไปประพฤติผิดจากพระธรรมวินัย
พระไตรปิฎกไม่ใช่เรื่องไกลตัว
เมื่อก่อนพระไตรปิฎกก็จะมีอยู่เฉพาะในวัด โดยที่จะเก็บไว้ในตู้พระไตรปิฎกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ราคาจำหน่ายก็ค่อนข้างสูง คนที่จะอ่านได้ส่วนมากก็จะเป็นพระหรือผู้ที่อยู่ในวัดเป็นส่วนมาก
แต่ปัจจุบันนี้พระไตรปิฎกไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปแล้ว เพราะปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีการสื่อสารได้ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และได้มีการทำเอกสารให้อยู่ในรูปไฟล์คอมพิวเตอร์ ทำให้มีพระไตรปิฎกที่อยู่ในรูปแบบของโปรแกรม หรือไฟล์เอกสาร (สามารถดาวน์โหลดได้ที่ ดาวน์โหลดพระไตรปิฎก) ซึ่งสามารถเปิดอ่านได้จากเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ก็อาจจะมีข้อเสียบ้างในคำบางคำที่พิมพ์ผิดหรือพิมพ์ตก ถ้าคอยสังเกตดีๆก็จะรู้ว่าคำนี้พิมพ์ผิด
เมื่อท่านมีโอกาสและทุนทรัพย์มากพอ ก็สามารถซื้อพระไตรปิฎกมาไว้ศึกษา แต่ถ้ายังไม่มีโอกาส การอ่านพระไตรปิฎกทางคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ขัด ยังไงก็ยังดีกว่าท่านไม่ได้มีโอกาสศึกษาเลย
ส่วนปัญหาสำคัญนั้น การอ่านพระไตรปิฎก อาจจะดูยากบ้างสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยในตอนแรกๆ แต่ถ้าทุกคนลองพยายามอ่านไป ค่อยๆพยายามทำความเข้าใจก็จะเริ่มคุ้นเคย
เคยเห็นหลายคนที่พยายามศึกษาวิชาการต่างๆ เพื่อใช้ในการสอบหรือการทำงานเป็นต้น แต่ละคนมีความเพียรพยายามมากจนมีความเข้าใจในที่สุด ซึ่งทำให้แต่ละคนได้ประโยชน์ในการศึกษานั้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านการสอบเข้าสถาบันต่างๆ หรือเกี่ยวกับการทำงาน
แต่เรื่องพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีความสำคัญเป็นที่สุด มีความสำคัญมากกว่า ถ้าหากท่านมีความพยายามในการศึกษาด้านอื่นได้ การศึกษาในส่วนของพระธรรมคำสั่งสอนก็ควรจะทำได้เช่นเดียวกัน และควรจะทำได้ดียิ่งกว่าอีกด้วย
การศึกษาพระธรรมเป็นการศึกษาที่คุ้มค่าและให้ผลเอนกอนันต์อย่างหาที่เปรียบมิได้ การศึกษาวิชาการทางโลกเมื่อสิ้นชีวิตตายจากชาตินี้ก็จบสิ้น ชาติหน้าก็อาจจะไปเรียนไปศึกษาด้านอื่นอีกไม่รู้จบ แต่การศึกษาทางธรรม แล้วน้อมนำธรรมมาประพฤติปฏิบัตินั้น สามารถที่จะให้ผลเอนกอนันต์ประมาณมิได้ข้ามภพข้ามชาติ
จึงขอเชิญชวนทุกท่าน เริ่มมาศึกษาอ่านพระไตรปิฎกโดยตรง ค่อยๆเริ่มอ่าน เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีความชำนาญในการอ่านในที่สุด ศัพท์บางศัพท์ที่ไม่เข้าใจก็สามารถเปิดดูความหมายได้จากพจนานุกรม เมื่อเปิดดูศัพท์ และจำศัพท์ได้แล้ว พอพบกับคำศัพท์คำเดิมเมื่อคราวต่อไปก็จะจำได้ และสามารถอ่านได้คล่องขึ้นในที่สุด ถ้าไม่เข้าใจในส่วนไหนก็เก็บไว้ก่อน ค่อยๆศึกษาถามผู้ที่มีความเข้าใจ ผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านจะสามารถอ่านพระไตรปิฎกได้ ส่วนความเข้าใจในแง่หลักธรรม และการปฏิบัติอาจจะต้องค่อยๆศึกษาและปฏิบัติไปตามความเหมาะสม
ลองพยายามอ่านทุกๆวัน ยังไงก็คิดว่ามาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆวัน ยังไงเสียก็ยังดีกว่าไปทำอะไรที่ไร้ประโยชน์ ซึ่งทุกๆวันเราก็เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไร้ประโยชน์เป็นส่วนมากอยู่แล้ว แบ่งเวลามาศึกษาพระธรรมคำสอน เพื่อจะได้น้อมนำพระธรรมคำสอนมาประพฤติปฏิบัติ อันสมควรแก่ธรรม จนกระจ่างธรรม สร้างความเจริญให้กับตนและผู้อื่นได้จนถึงความเจริญที่สุด นั่นคือที่สุดแห่งทุกข์
ส่วนท่านใดที่กำลังศึกษาอยู่แล้ว ก็ขอให้กำลังใจทุกท่าน เพื่อจะได้ทำหน้าที่ของพุทธบริษัท ๔ อย่างบริบูรณ์ไม่มีส่วนใดบกพร่อง ให้สมกับที่ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในพุทธบริษัท ๔ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มอบหน้าที่ในการดูแลพระพุทธศาสนา เพื่อที่พระพุทธศาสนาจะได้รุ่งเรืองสืบไปเป็นที่พึ่งกับเหล่าสัตว์ได้ตราบนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
อ้างอิง๑ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๒๐ ข้อที่ ๑๔๑
อ้างอิง๒ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๙ พระวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๘๒ ข้อที่ ๓๖๑
อ้างอิง๓ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๓๕ พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ ๕๒ ข้อที่ ๒๑
อ้างอิง๔ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๗๒ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ - หน้าที่ ๔๑ ข้อที่ ๑๗
อ้างอิง๕ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๑๘ ข้อ ๑๒๐
จบบทความที่1
พระวินัย
พระวินัยหรือศีลของพระ เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เพื่อเป็นข้อห้ามสำหรับพระภิกษุไม่ให้ประพฤติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่จะทำให้มีความเสื่อมเสียหรือเสียหายเกิดขึ้น
การกำหนดโทษของภิกษุผู้ฝ่าฝืนละเมิดพระวินัย เรียกว่าอาบัติ
ซึ่งอาบัตินั้นมี ๗ ประการ โดยเรียงลำดับตามโทษหนัก ไปหาเบาดังนี้
๑. ปาราชิก ๒. สังฆาทิเสส ๓. ถุลลัจจัย ๔. ปาจิตตีย์
๕. ปาฏิเทสนียะ ๖. ทุกกฏ ๗. ทุพภาสิต
หลักเกณฑ์ในการบัญญัติสิกขาบท
หลักเกณฑ์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวางไว้ในการบัญญัติสิกขาบทคือ เมื่อภิกษุรูปใดรูปหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่งมีความประพฤติที่เสื่อมเสียเกิดขึ้นเมื่อใด พระองค์จะทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามสงฆ์ทั้งหลายประพฤติสิ่งนั้นอีกเมื่อนั้น
หลักเกณฑ์ในการบัญญัติสิกขาบทของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สามารถดูได้จากพุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสกับพระสารีบุตร ในครั้งที่พระสารีบุตรทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทเพื่อจะทำให้พระพุทธศาสนายืนยาวนาน และพระพุทธองค์ตรัสตอบว่า (อ้างอิง ๑)
“ จงรอก่อนสารีบุตร จงยับยั้งก่อนสารีบุตร ตถาคตผู้เดียวจักรู้กาลในกรณีนั้น
พระศาสดายังไม่บัญญัติสิกขาบท ยังไม่แสดงปาติโมกข์แก่สาวก ตลอดเวลาที่ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะบางเหล่ายังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ต่อเมื่อใดอาสวัฏฐานิยธรรม(ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ) บางเหล่าปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ ”
ในตอนต้นของพุทธกาล ตั้งแต่มีพระสงฆ์รูปแรกบังเกิดขึ้นนั่นคือพระอัญญาโกณฑัญญะ เรื่อยไปจนถึงพรรษาที่ ๑๐ พระองค์ยังไม่ทรงบัญญัติสิกขาบท เนื่องจากพระสงฆ์ในยุคเริ่มแรกยังเป็นพระสงฆ์ที่มีจริยวัตรงดงาม พระส่วนมากมีคุณธรรมขั้นต่ำก็คือพระโสดาบัน ดังนั้นพระจึงยังไม่มีความประพฤติที่เสื่อมเสียเกิดขึ้น ต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาได้เผยแพร่ไปกว้างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ คนบวชเริ่มมากมายหลากหลายขึ้น ดังนั้นเหตุผลของผู้ที่จะมาบวชในบวรพุทธศาสนาจึงมากมายแตกต่างกันไปด้วย ซึ่งผู้มาบวชบางคนก็มาบวชด้วยเหตุผลที่ผิด นั่นคือมิได้มาเพื่อประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์ ดังนั้นพระจึงเริ่มมีความประพฤติเสื่อมเสียเกิดขึ้น เมื่อมีความประพฤติเสื่อมเสีย จึงเป็นเหตุให้เกิดการบัญญัติสิกขาบทขึ้น
ความสำคัญของพระวินัย พระวินัยเปรียบเหมือนพระศาสดา (อ้างอิง ๒)
พุทธพจน์
[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า “ ดูก่อนอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่าปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น
ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอโดยกาลล่วงไปแห่งเรา ”
เมื่ออ่านจากพุทธพจน์แล้ว แสดงว่าพระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ไม่ใช่เป็นแค่เพียงข้อห้ามเท่านั้น แต่ในอีกสถานะหนึ่ง พระวินัยเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของพระองค์ที่พระองค์ทรงวางไว้เพื่อปกครองคณะสงฆ์หลังจากพระองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ดังนั้นความสำคัญในข้อนี้คือพระวินัยเปรียบได้ดั่งกับพระผู้มีพระภาคเจ้า เนื่องจากพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแต่งตั้งพระวินัยให้เป็นตัวแทนพระองค์ เพราะฉะนั้นความสำคัญของวินัย จึงมีความสำคัญอย่างที่สุด ใครที่มองข้ามพระวินัย ก็เหมือนประหนึ่งว่าได้มองข้ามพระองค์
ศีลทุกข้อนั้น ล้วนแล้วแต่มีการเกิดขึ้นโดยมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้นทั้งนั้น อีกทั้งกระบวนการบัญญัติขึ้นของศีลแต่ละข้อนั้น ก็มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจนนั่นคือ
มีภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง หรือคณะใดคณะหนึ่งกระทำความผิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเรียกประชุมสงฆ์
ทรงสอบถาม
ตรัสถึงโทษ
ทรงติเตียน
ตรัสถึงประโยชน์ในการบัญญัติสิกขาบท
หลังจากนั้นพระองค์ค่อยทรงบัญญัติสิกขาบท
นอกจากมีที่มาในการบัญญัติอย่างชัดเจน ถึงขนาดมีรับสั่งให้เรียกประชุมสงฆ์แล้ว พระองค์ยังตรัสถึงประโยชน์สิบประการเหล่านี้คือ
ประโยชน์ ๑๐ ประการแห่งการบัญญัติสิกขาบท
พุทธพจน์
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุรุษผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ”
หนังสือพุทธธรรม (ป.อ.ปยุตฺโต) หน้า ๔๓๖ ได้แปลประโยชน์ ๑๐ ประการเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายดังนี้
๑. เพื่อความดีงามที่เป็นไปโดยความเห็นชอบร่วมกันของสงฆ์
๒. เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์
๓. เพื่อกำราบคนหน้าด้านไม่รู้จักอาย
๔. เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งเหล่าภิกษุผู้มีศีลดีงาม
๕. เพื่อปิดกั้นความเสื่อมเสีย ความทุกข์ ความเดือดร้อนที่จะมีในปัจจุบัน
๖. เพื่อบำบัดความเสื่อมเสีย ความทุกข์ ความเดือดร้อนที่จะมีในภายหลัง
๗. เพื่อความเลื่อมใสของคนที่ยังไม่เลื่อมใส
๘. เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของคนที่เลื่อมใสแล้ว
๙. เพื่อความดำรงมั่นแห่งสัทธรรม
๑๐. เพื่อส่งเสริมความเป็นระเบียบเรียบร้อย สนับสนุนวินัยให้หนักแน่น
ถ้าทุกคนสังเกตให้ดีในประโยคที่พระองค์ตรัสว่า “ เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ ” ประโยคดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่พระองค์ตรัสในคราวก่อนที่จะมีการบัญญัติพระวินัย และไม่ใช่พระองค์จะตรัสแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่กลับเป็นประโยคที่พระองค์ตรัสย้ำๆซ้ำๆกันบ่อยมาก ตรัสแทบทุกคราวที่พระองค์จะทรงบัญญัติสิกขาบทโดยที่พระองค์จะตรัสถึงประโยชน์สิบประการเหล่านี้ก่อนค่อยบัญญัติสิกขาบท ธรรมดาของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูนั้นย่อมจะตรัสเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถึงแม้ว่าพระองค์จะตรัสแค่ครั้งเดียว ชาวพุทธก็ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดอยู่แล้ว แต่นี่กลับเป็นสิ่งที่พระองค์ตรัสย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีก
ชาวพุทธส่วนมากจะบอกว่าตนเองเคารพนับถือพระพุทธเจ้า แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้วกลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะถ้ามีความเคารพต่อพระองค์จริงก็น่าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์บัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งในความเป็นจริงชาวพุทธส่วนมากกลับไม่ฟังและไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์สั่งไว้ ทั้งที่สิ่งที่พระองค์สั่งไว้ก็เป็นสิ่งที่สร้างความเจริญให้กับผู้ที่กระทำตามนั่นเอง
ขอถามใจชาวพุทธว่า แล้วชาวพุทธล่ะ เห็นแก่พระองค์บ้างหรือไม่ เห็นแก่สิ่งที่พระองค์ตรัสบ้างหรือไม่ ที่ผ่านมานั้น แต่ละคนมีความยำเกรงในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้หรือไม่ ถ้าแต่ละคนตอบว่า แต่ละคนเห็นแก่พระองค์ ก็ขอให้แต่ละคนลองถามใจตัวเองอีกทีเถิดว่าแต่ละคนเห็นแก่พระองค์แค่ไหน แต่ละคนให้ความยำเกรงแค่ไหนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เห็นแก่สิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติพระวินัยโดยอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการแค่ไหน และจริงๆแล้วแต่ละคนนั้นเห็นแก่สิ่งที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเป็นตัวแทนพระองค์หลังพระองค์ปรินิพพานหรือไม่ ที่ต้องถามย้ำๆหลายครั้งก็เพราะว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึง เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการ ซึ่งเป็นสาเหตุให้พระสัทธรรมเสื่อมนั่นคือ (อ้างอิง ๓)
“ ดูก่อนกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมเป็นไป พร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกาในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพยำเกรง ใน พระศาสดา ๑ ใน พระธรรม ๑ ใน พระสงฆ์ ๑
ใน สิกขา ๑ ใน สมาธิ ๑ เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความ
ฟั่นเฟือนเพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม ”
ตามพุทธพจน์นั้น ความไม่ยำเกรงในพระศาสดา ในสิกขา เป็นเหตุให้เกิดทั้งความฟั่นเฟือนและความเลือนหายในพระสัทธรรม ในความคิดของผู้เขียนนั้น สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้น อีกนัยหนึ่งเป็นเหมือนกับการบอกเตือนกับพุทธบริษัท ๔ ไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นว่า ในภายภาคหน้าหลังจากที่พระองค์ปรินิพพาน จะมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น นั่นคือความไม่เคารพยำเกรงในพระศาสดา ความไม่เคารพยำเกรงในสิกขา ซึ่งเป็นเหตุฝ่ายต่ำที่จะทำให้พระสัทธรรมฟั่นเฟือน ซึ่งพุทธบริษัท๔ เมื่อได้รับรู้แล้วก็ต้องมีความระมัดระวังสอดส่องและควรเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อรับมือและยับยั้งกับเหตุฝ่ายต่ำเหล่านี้เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา แต่มิใช่ให้พุทธบริษัท๔ ไปร่วมผสมโรงสนับสนุน หรือทำตัวกลมกลืนเนียนไปกับเหตุการณ์ฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความฟั่นเฟือนและเลือนหายแห่งพระสัทธรรม
พระวินัยเป็นกฎทางธรรม
พระวินัยเป็นสิ่งที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเป็นพระสัพพัญญู ผู้รู้ทุกสรรพสิ่ง ผู้มีปัญญาและเป็นผู้ประเสริฐสูงสุดเป็นผู้บัญญัติ ซึ่งจากที่ได้กล่าวข้างต้นมาแล้วว่า ผู้ที่เข้ามาบวชในบวรพระพุทธศาสนานั้น ต่างก็มีจำนวนมากมาย นอกจากมีจำนวนมากมายแล้ว ก็ยังมีความหลากหลายอีกด้วย ทั้งความหลากหลายในด้าน ต่างเหตุ ต่างผล ในการเข้ามาบวช และความหลากหลายทางด้าน โคตร ตระกูล ชนชั้น วรรณะ อัธยาศัย แต่ไม่ว่าผู้ที่เข้ามาบวชจะมาจากที่ใด หรือจะหลากหลายประมาณไหนก็ตาม เมื่อเข้ามาบวชแล้วก็จะมีพระวินัยเป็นสิ่งที่หล่อหลอม ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยเกิดขึ้นในหมู่สงฆ์ ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งแก่ตนเองและคณะสงฆ์ ตัวอย่างเช่นผู้ที่เข้ามาบวชจะได้รับการสั่งสอนมารยาทมาก่อนหรือไม่ แต่เมื่อเข้ามาบวชแล้วได้ประพฤติปฏิบัติตนตามพระวินัย ก็จะมีความประพฤติและกิริยาที่งดงาม เช่น การฉันอาหาร ก็จะมีวินัย ในหมวดรับประทานอาหาร ชื่อเสขิยวัตร อบรมสั่งสอนหล่อหลอมขัดเกลาผู้นั้นให้เป็นผู้มีสติ มีกิริยาและวัตรงดงามในขณะรับประทานอาหาร ลองคิดดูว่าถ้าไม่มีวินัยกำหนดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารแล้ว อีกทั้งคนที่เข้ามาบวชบางคนเป็นคนที่ไม่ได้รับการอบรมมารยาทมาก่อน ขณะทานอาหารก็ไม่สำรวม ไร้สติ มูมมาม ตะกละตะกลาม ส่งเสียงซูดปาก เคี้ยวก็เสียงดัง สร้างความสะอิดสะเอียนต่อผู้มาพบเห็น ถ้าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จะสร้างความเสื่อมเสียต่อคณะสงฆ์มากมายแค่ไหน
ดังนั้นการปฏิบัติตามพระวินัย ย่อมเกิดประโยชน์มากมายทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและคณะสงฆ์ ทำให้เกิดสังฆสามัคคีมีความพร้อมเพรียงในหมู่สงฆ์ ในทางกลับกันถ้าพระรูปใด เมื่อไปละเมิดหรือไม่ใส่ใจต่อสิกขาบทเมื่อใด ย่อมเกิดโทษอย่างมากมาย ทั้งต่อตัวท่านเอง และต่อคณะสงฆ์เมื่อนั้น
ทุกท่านลองพิจารณาให้ดีเถิดว่า กฎหมายทางโลกมีไว้เพื่อควบคุมประชาชนไม่ให้กระทำผิด แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่เคารพยำเกรงกฎหมายแล้ว บ้านเมืองจะวุ่นวายขนาดไหนเช่นมีการฆ่า ลักขโมย ข่มขืน ฯลฯ เกิดขึ้นอย่างมากมายโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และถ้าผู้คนในบ้านเมืองนั้นถือว่าการฆ่า ลักขโมย ข่มขืน ฯลฯ เป็นเรื่องปกติที่ทุกๆคนก็ทำกัน กฎหมายเป็นเพียงสิ่งในอุดมคติที่สมควรจะตั้งไว้เฉยๆ บ้านเมืองตอนนั้นก็คงเป็นยุคทมิฬหาความสงบสุขมิได้ หรืออาจจะถึงขั้นล่มสลายเสียด้วยซ้ำไป ฉันใดก็ฉันนั้นสิกขาบทนั้นเปรียบเหมือนกับกฎหมายทางธรรมเพื่อควบคุมคณะสงฆ์ ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งทั้งสิบประการ ถ้าชาวพุทธไม่เคารพยำเกรง และคิดว่ากฎหมายทางธรรมเป็นสิ่งที่อยู่ในอุดมคติเป็นเพียงสิ่งที่คนสมัยก่อนทำขึ้นมา สมควรที่จะตั้งไว้เฉยๆ ถ้าทำตามได้ก็จะทำ ถ้าทำตามไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องมีความเคารพยำเกรง การที่พระละเมิดศีลถือเป็นเรื่องปกติที่ใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วก็ย่อมเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
ขอให้ทุกท่านตั้งข้อสังเกตให้ดีว่า วิวัฒนาการของความเลวร้ายมักจะเริ่มจากสิ่งเล็กๆก่อน แล้วแต่ละคนก็ไม่ใส่ใจ ปล่อยให้มันเป็นไป และเริ่มเห็นเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นก็เริ่มลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าผู้อ่านเป็นชาวพุทธ ท่านจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับกฎทางธรรมหรือ และขอให้ทุกคนอย่าลืมว่ากฎหมายทางธรรมนั้นยิ่งใหญ่ครอบคลุมกว่ากฎหมายทางโลกมาก เนื่องจากมีการบัญญัติโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้รู้กฎแห่งธรรมชาติ ถ้ามีการละเมิดกฎของธรรมชาตินี้แล้ว ย่อมได้รับผลซึ่งน่ากลัวทุกข์ทรมานและยาวนานกว่าบทลงโทษของทางโลกมาก นั่นคืออบายภูมิ๔
ศีลเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก และเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ
สีลสัมปทามีอุปการะมากแก่อริยมรรค ดังพุทธพจน์ต่อไปนี้ (อ้างอิง ๔)
[๑๕๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันหนึ่งมีอุปการะมาก เพื่อความเกิดขึ้นแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ธรรมอันหนึ่งเป็นไฉน คือความถึงพร้อมแห่งศีล ฯลฯ
(อ้างอิง ๕) พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเสด็จอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏใกล้กรุงราชคฤห์
กระทำธรรมีกถานี้แลเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยพระดำรัสว่า
ศีล มีอยู่ด้วยประการฉะนี้, สมาธิ มีอยู่ด้วยประการฉะนี้, ปัญญามีอยู่ด้วยประการฉะนี้,
สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก,
ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก,
จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้นด้วยดีโดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย
กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ดังนี้
จากพุทธพจน์ดังกล่าว ศีลเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก และด้วยประโยคที่ว่า
" สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก,
ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก,
จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้นด้วยดีโดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย "
จากพุทธพจน์ข้างต้น ศีลจึงเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่จะทำให้เกิดสมาธิ และสมาธิเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เกิดปัญญา ปัญญาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จิตหลุดพ้นจากอาสวะ
หน้าที่การเป็นเนื้อนาบุญ
หน้าที่ของพระภิกษุอีกหน้าที่หนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญก็คือ การเป็นเนื้อนาบุญ หน้าที่การเป็นเนื้อนาบุญนี้อาจจะถูกมองข้ามจากพระส่วนมากในสมัยนี้ ทั้งๆที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ซึ่งอาจจะเป็นส่วนมากที่สุดด้วยซ้ำไป ที่มาทำบุญตักบาตรโดยมีความคิดที่คาดหวังในบุญ เพื่อต้องการจะนำบุญไปใช้ในเหตุผลต่างๆนานาเช่น อาจจะต้องการให้บุญแก่ผู้ล่วงลับ หรือต้องการให้บุญกับตนเองเพื่อความสบายในภายภาคหน้า หรือต้องการบุญเพื่อจะทำให้พ้นจากสภาพความเป็นทุกข์ในปัจจุบัน
ผู้เขียนจะขอยกตัวอย่างของพระในสมัยก่อนนั้น มาเป็นตัวอย่างประกอบบทความ ซึ่งท่านเป็นตัวอย่างของพระที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม และหน้าที่ตรงนี้สูงมาก
ครั้งหนึ่งที่พระมหากัสสปเถระหลังจากได้รับการอุปสมบทจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยตรงด้วยวิธีการรับโอวาท๓ ซึ่งหลังจากที่ได้รับการอุปสมบทใหม่ๆ ท่านยังไม่ได้บรรลุธรรมอันใด ต่อมาท่านบำเพ็ญเพียรอยู่ได้ ๗ วันท่านจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ ท่านได้กล่าวดังนี้ว่า
" ดูก่อนผู้มีอายุ เราเป็นหนี้บริโภค ก้อนข้าวของราษฎรถึง ๑ สัปดาห์ วันที่ ๘ พระอรหัตผลจึงปรากฏขึ้น " (อ้างอิง ๖)
คำพูดของท่านพระมหากัสสปเถระ ได้แสดงถึงความรับผิดชอบอย่างสูงต่อหน้าที่ของท่านว่า ขณะที่ท่านยังไม่ได้บรรลุธรรม ท่านเป็นหนี้ก้อนข้าวที่ผู้คนนำมาถวายท่านถึง ๑ สัปดาห์
ในส่วนนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดีมากเช่นกัน เหมาะสำหรับเป็นตัวอย่างให้ผู้คนปฏิบัติตาม ในความคิดของผู้เขียนนั้น ไม่ใช่เฉพาะแต่ผู้ที่เป็นพระเท่านั้น ที่จะมีความรับผิดชอบในส่วนนี้ แม้แต่คฤหัสถ์ก็ยังนำส่วนนี้มาเป็นตัวอย่างได้ เช่นขณะที่เราทำงานหาเงิน เงินที่เราได้มานั้น เราได้ทำงานอย่างเต็มที่หรือไม่ เราเป็นหนี้ก้อนเงินที่นายจ้างหรือลูกค้านำมาให้เราหรือไม่ หรือ ขณะที่เราได้เงินจากบิดามารดา เราได้เป็นลูกที่ดีหรือไม่ เป็นต้น ความรับผิดชอบนั้นควรจะมีอยู่ในทุกส่วนในสังคม เมื่อมีอยู่ในทุกส่วนแล้ว ทุกส่วนย่อมมีความเจริญ
นอกจากเรื่องพระกัสสปเถระแล้ว ก็ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวอย่างของพระภิกษุที่ได้รับ อาหารจากชาวบ้านที่หาอาหารมาได้ด้วยความยากลำบาก ท่านจึงมีความเคารพในบิณฑบาตที่ชาวบ้านถวายด้วยความศรัทธา ซึ่งท่านจะพยายามปฏิบัติตนเพื่อสมกับได้บิณฑบาตของชาวบ้านนั้น (อ้างอิง ๗.๑)
เรื่องพระมหามิตตเถระ
เล่ากันว่า มีพระเถระรูปหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำชื่อกสกะ และมีมหาอุบาสิกาผู้หนึ่งบำรุงพระเถระนั้นเหมือนบุตร วันหนึ่งนางจะต้องเข้าไปในป่า จึงสั่งลูกสาวว่า
" เมื่อพระเป็นเจ้ามิตตะ พี่ชายของเจ้ามาแล้ว ให้ลูกนำ ข้าวสาร น้ำนม เนยใส น้ำอ้อย ที่เก็บไว้ปรุงเป็นอาหารถวายด้วยนะลูก "
ลูกสาวถามว่า " ก็แม่จะรับประทานไหมจ๊ะ "
มหาอุบาสิกาตอบว่า " ก็เมื่อวานนี้ แม่รับประทานอาหารสำหรับค้างคืน (ปาริวาสกภัต)ที่ปรุงกับน้ำส้มแล้ว"
ลูกสาวถามว่า " แม่จะรับประทานกลางวันไหมจ๊ะ "
มหาอุบาสิกาสั่งว่า " เจ้าจงใส่ผักดองแล้วเอาปลายข้าวสาร ต้มข้าวต้มมีรสเปรี้ยวเก็บไว้ให้แม่เถอะลูก "
ขณะนั้นเอง พระเถระครองจีวรแล้ว กำลังนำบาตรออก(จากถลก) ได้ยินเสียงนั้นพอดี เมื่อได้ยินเสียงนั้นจึงสอนตนเองว่า
" ได้ยินว่า มหาอุบาสิการับประทานแต่อาหารสำหรับค้างคืนกับน้ำส้ม
แม้กลางวันก็จักรับประทานข้าวต้มเปรี้ยวใส่ผักดอง
นางบอกให้นำอาหารมี ข้าวสาร น้ำนม เนยใส น้ำอ้อย เพื่อประโยชน์แก่ตัวเราเอง
ก็มหาอุบาสิกานั้นมิได้หวังที่นาที่สวน อาหาร และผ้า เพราะอาศัยเราเลย
แต่ปรารถนาสมบัติ ๓ ประการ (มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ) จึงถวาย
แล้วตัวเรา จักสามารถให้สมบัติเหล่านั้นแก่มหาอุบาสิกานั้นได้หรือไม่เล่า "
เมื่อพระเถระสอนตัวเองเสร็จ จึงคิดต่อไปว่า
" บิณฑบาตนี้แล ตัวเรานี้ยังมีราคะ โทสะ โมหะ อยู่ไม่อาจรับได้ "
พระเถระคิดดังนี้แล้ว จึงเก็บบาตรเข้าถลก ปลดดุมจีวร กลับไปถ้ำกสกะทันที เก็บบาตรไว้ใต้เตียง พาดจีวรไว้ที่ราวจีวร นั่งลงอธิษฐานความเพียรว่า ถ้าเราไม่บรรลุพระอรหันต์ จะไม่ออกไปจากถ้ำดังนี้ ภิกษุผู้ไม่ประมาทอยู่มาช้านานเจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตก่อนเวลาอาหารเช้า เป็นพระมหาขีณาสพ (สิ้นอาสวะแล้ว) นั่งยิ้มอยู่ เหมือนดอกปทุมที่กำลังแย้มฉะนั้น เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้ใกล้ประตูถ้ำเปล่งอุทานว่า
" ท่านบุรุษอาชาไนย ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน
ท่านยอดบุรุษ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่าน
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมท่านผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว
ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้ควรทักษิณาทาน " ดังนี้
แล้วเทวดานั้นยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า
" ท่านเจ้าข้า พวกหญิงแก่ถวายอาหารแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย
เช่นท่านผู้เข้าไปบิณฑบาต เธอย่อมพ้นจากทุกข์ได้ "
พระเถระลุกขึ้นเปิดประตูเพื่อดูเวลา ทราบว่า ยังเช้าอยู่ จึงถือบาตร และจีวรเข้าสู่หมู่บ้าน ฝ่ายเด็กหญิง จัดเตรียมอาหารเสร็จแล้ว นั่งเฝ้าคอย ดูอยู่ตรงประตู ด้วยนึกว่า ประเดี๋ยวพี่ชายเราคงจะมา เมื่อพระเถระมาถึงประตูเรือนแล้ว เด็กหญิงนั้น ก็รับบาตรบรรจุเต็มด้วยอาหาร เจือน้ำนม ที่ปรุงด้วยเนยใส และน้ำอ้อยแล้ว วางไว้บนมือ(ของพระเถระ)
พระเถระทำอนุโมทนาว่า จงมีสุขเถิด แล้วก็หลีกไป เด็กหญิงนั้นยืนจ้องดูท่าน ซึ่งในคราวนั้น ผิวพรรณของพระเถระบริสุทธิ์ยิ่งนัก อินทรีย์ผ่องใส หน้าของท่านเปล่งปลั่งยิ่งนัก ประดุจผลตาลสุกหลุดออกจากขั้วฉะนั้น
เมื่อมหาอุบาสิกากลับมาจากป่าถามว่า " พี่ชายของเจ้ามาแล้วหรือลูก "
เด็กหญิงนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาฟัง มหาอุบาสิกาก็รู้ได้ว่า วันนี้ บรรพชิตกิจแห่งบุตรของเราถึงที่สุดแล้ว ดังนี้
หมายเหตุ : เรื่องราวของพระมิตตเถระเป็นตัวอย่างที่ดีและมีประโยชน์มาก สามารถนำท่านเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้ จนกระทั่งอรรถกถาจารย์ ได้นำเรื่องนี้มาบรรจุไว้ในส่วนของอรรถกถา (อ้างอิง ๗.๒) เพื่ออธิบายธรรมในพระไตรปิฎกส่วนของหัวข้อ ธรรมเป็นเหตุเกิดวิริยสัมโพชฌงค์ ข้อที่ ๔ การเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาต
(ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนดังนี้ว่า
พิจารณาความเคารพยำเกรงต่อบิณฑบาตอย่างนี้ว่า
มนุษย์เหล่าใดบำรุงเธอด้วยปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น
มนุษย์เหล่านั้นนี้ ก็ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ทาส และคนงานของเธอเลย
ทั้งมนุษย์เหล่านั้นที่ถวายปัจจัยอันประณีตต่างๆแก่เธอ ซึ่งมีจีวรเป็นต้น
โดยที่มนุษย์เหล่านั้นที่ถวายก็ไม่ได้คิดว่า จักอาศัยเธอเลี้ยงชีวิต
แต่แท้ที่จริง เขาหวังว่าสิ่งที่ตนทำแล้วมีผลมาก จึงถวาย)
หมายเหตุ : ผู้เขียนขอเน้นย้ำให้ทุกท่านพิจารณาประโยคดังต่อไปนี้ ให้ดีอีกสักครั้ง นั่นคือ
" มนุษย์เหล่านั้นนี้ ก็ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ทาส และคนงานของเธอเลย "
ประโยคนี้พยายามบอกว่า พวกคนที่มาถวายปัจจัยต่างๆ (บิณฑบาต, ยารักษาโรคฯลฯ) ให้แก่พระทั้งหลายนั้น คนเหล่านั้นไม่ได้เป็นอะไรกับพระเหล่านั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นลูก หลาน ญาติ หรือคนรู้จัก แต่ทำไมเขาถึงจำเป็นต้องให้ปัจจัยต่างๆให้กับพระเหล่านั้นด้วยเล่า
เมื่ออ่านเรื่องพระมิตตเถระจบแล้ว ก็รู้ได้ถึงความเคารพในบิณฑบาต ความรับผิดชอบต่อผู้อื่นของท่าน ท่านได้พยายามประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ญาติโยมที่หาปัจจัยมาด้วยความยากลำบากได้บุญอย่างสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยนี้ ญาติโยมที่มาถวายอาหารพระ บางคนก็เต็มไปด้วยความทุกข์ต่างๆ บางคนก็เต็มไปด้วยความเจ็บป่วย บางคนก็เป็นหนี้เป็นสิน บางคนก็มีปัญหาเรื่องครอบครัว บางคนก็ต้องการบุญให้แก่พ่อแม่อันเป็นที่รักยิ่งของเขาเหล่านั้นซึ่งได้จากไป เป็นต้น
ถึงแม้ว่าท่านไม่ได้บรรลุคุณธรรมขั้นสูง ขึ้นไปเรื่อยๆตามลำดับ เช่น ฌาน หรือมรรคผลใดๆ แต่อย่างน้อยถ้าท่านยังเป็นพระที่มีศีล ก็เป็นเนื้อนาบุญให้กับญาติโยมได้แล้ว
ดังในอรรถกถาที่อธิบายทักขิณาสูตร (อ้างอิง ๘) ได้กล่าวว่าครั้งหนึ่ง นายพรานผู้หนึ่งผู้อยู่ บ้านวัฒมานะ ต้องการทำบุญอุทิศแก่คนที่ตายแล้ว นายพรานนั้นจึงได้ไปทำบุญแก่ภิกษุผู้ทุศีลรูปหนึ่งถึง ๓ ครั้ง ซึ่งอมนุษย์(ผู้ตายที่นายพรานพยายามอุทิศบุญไปให้ ซึ่งอยู่ในภพภูมิเปรต) ที่นายพรานอุทิศบุญไปให้กลับไม่ได้บุญ จึงร้องตะโกนขึ้นว่า " ผู้ทุศีลปล้นฉัน " แต่ในเวลาที่พรานนั้นถวายทานแก่ภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่ง ผลของทักขิณาก็ถึงอมนุษย์นั้นได้
ดังนั้นถ้าเป็นพระละเมิดศีลเสียแล้ว ก็ยากที่จะมีบุญให้กับญาติโยมในเวลาที่ญาติโยมนำปัจจัยมาถวาย หรือยากที่จะตอบแทนบิณฑบาตของชาวบ้านให้ชาวบ้านได้ผลบุญที่ยิ่งๆขึ้นไปด้วย มิหนำซ้ำอย่าว่าแต่จะให้บุญแก่ชาวบ้านเลย แม้แต่ตัวท่านเองที่เป็นพระทุศีลนั้น ตัวท่านเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอดเลย จากที่พระองค์ตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายไว้ดังนี้ (อ้างอิง ๙)
(เรื่องย่อ) พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ได้ตรัสเตือนภิกษุดังนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า การที่บุคคลผู้ทุศีลมีธรรมลามก มีความประพฤติ สกปรกน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญาณว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน มีความกำหนัดกล้า เป็นดังหยากเยื่อ
ผู้ทุศีลนั้น ไปกอดกองไฟกองใหญ่ที่ลุกโชติช่วงนั้น
ยังดีกว่า ไปกอดธิดา หรือบุตรสาวพราหมณ์
ผู้ทุศีลนั้น ไปโดนเชือกหนังอันเหนียว พันแข้งทั้งสองข้างแล้วชักไปมาจนเชือกหนัง นั้นบาดผิว บาดหนัง
บาดเนื้อ ตัดเอ็น ตัดกระดูก ไปจนถึงเยื่อในกระดูก
ยังดีเสียกว่า ให้กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีมากราบไหว้
ผู้ทุศีลนั้น ไปโดนบุรุษที่มีกำลังเอาหอกอันคม ที่ชโลมน้ำมันพุ่งใส่กลางอก
ยังดีเสียกว่า ให้กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีมากราบอัญชลี
ผู้ทุศีลนั้น ไปโดนบุรุษที่มีกำลัง นำเอาแผ่นเหล็กแดงมีไฟกำลัง ลุกโชติช่วงนาบ กายตัว
ยังดีเสียกว่า ได้ใช้จีวรที่เขาถวายด้วยความศรัทธา
ผู้ทุศีลนั้น ไปโดนบุรุษที่มีกำลัง นำตะขอเหล็กแดง ที่มีไฟลุกโชติช่วงเกี่ยว ง้าง ปากให้อ้าไว้ แล้วกรอกด้วย ก้อนเหล็กแดง ที่มีไฟลุกโชติช่วง เข้าไป ในปาก ก้อนเหล็กแดงที่เข้าไปในปากนั้นจะไหม้ริมฝีปาก ไหม้ปาก ไหม้ลิ้น ไหม้คอ ไหม้อก
ไหม้เรื่อยไปจนถึง ลำไส้ใหญ่ แล้วออกทางทวาร
ยังดีเสียกว่า บริโภคบิณฑบาตที่เขาถวายด้วยศรัทธานั้น
ผู้ทุศีลนั้น ไปโดนบุรุษที่มีกำลัง จับที่ศีรษะหรือที่คอ แล้วให้นั่งทับ นอนทับ บนเตียงเหล็กหรือตั่งเหล็กแดงที่มีไฟกำลัง
ลุกโชติช่วง
ยังดีเสียกว่า ไปใช้เตียงตั่งที่เขาถวาย ด้วยศรัทธา
ผู้ทุศีลนั้น ไปโดนบุรุษที่มีกำลัง จับมัดเอาเท้าขึ้นเอาหัวลง โยนลงในหม้อเหล็กแดง ที่มีไฟกำลังลุกโชติช่วง ผู้นั้นถูกไฟ
เผาเดือด ลอยไปลอยมา บางครั้ง ลอยขึ้นข้างบน บางครั้งจมลงข้างล่าง บางครั้งลอยไปทางขวาง
ยังดีเสียกว่า เข้าไปใช้วิหารที่เขาถวายด้วยความศรัทธา
เมื่ออ่านพุทธพจน์ด้านบนที่พระองค์เตือนพระทุศีล ก็หมายความว่าตัวท่านเองก็จะต้องประสบกับความฉิบหายกับการทุศีล นั่นคืออย่าว่าจะเป็นเนื้อนาบุญให้กับญาติโยมเลย แม้แต่ตัวท่านเองท่านก็ยังเอาตัวไม่รอด
อีกทั้งเมื่ออ่านเนื้อเรื่องด้านบนเกี่ยวกับนายพรานผู้หนึ่งผู้อยู่บ้านวัฒมานะ เราก็พอคาดเดาได้ว่า ถ้าทำบุญกับพระทุศีล นั่นก็หมายความว่า ผู้ที่ทำบุญหรือผู้ที่รอรับบุญก็คงยังลำบากต่อไปเพราะท่านไม่ได้เป็นเนื้อนาบุญที่ดีสรุปแล้วไม่มีใครได้ผลดีอะไรจากเรื่องดังกล่าวนี้ มีแต่เสียกับเสีย
ฝ่ายญาติโยม เสียหายมาก เพราะ ไม่ได้ทำบุญกับเนื้อนาบุญที่ดี
ฝ่ายผู้รอส่วนบุญจากที่ญาติโยมทำบุญไปให้ ยิ่งเสียหายมากเพราะเขาทุกข์ทรมานมาก ในสภาพที่เขาได้รับอยู่
ฝ่ายพระละเมิดศีล ยิ่งเสียหายหนัก เพราะมีอบายภูมิ รอพระเหล่านั้นอยู่
พระวินัยเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนายืนนาน (อ้างอิง ๑๐)
ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนดำรงอยู่ไม่นาน พระสารีบุตรจึงไปทูลถามเรื่องดังกล่าวกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสตอบพระสารีบุตรว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน ส่วนพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน โดยที่พระองค์ตรัสบอกถึงเหตุที่ทำให้ศาสนาดำรงอยู่นานและไม่นานดังนี้
ดูก่อนสารีบุตร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ มิได้ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรม โดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งสามพระองค์นั้นมีมาก สิกขาบทก็ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็ทรงแสดงแก่สาวก เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอดระยะกาลยืนนาน
ดูก่อนสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้นกระดาน ร้อยดีแล้วด้วยด้ายลมย่อมกระจายไม่ได้ ขจัดไม่ได้ กำจัดไม่ได้ซึ่งดอกไม้เหล่านั้นข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเขาร้อยดีแล้วด้วยด้ายฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงดำรงพระศาสนานั้นไว้ได้ตลอด ระยะกาลยืนนาน ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูก่อนสารีบุตร อันนี้แลเป็นเหตุ อันนี้แลเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามกกุสันธะ พระนามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะ ดำรงอยู่นาน
หลังจากที่ได้ฟังคำตอบของพระศาสดา ท่านพระสารีบุตรก็ลุกจากอาสนะ ทำผ้าอุตราสงค์ เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี ไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลว่า
" ถึงเวลาแล้วพระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่พระสุคต ถึงเวลาแล้ว ที่จะทรงบัญญัติสิกขาบท ที่จะทรงแสดงปาติโมกข์แก่สาวก อันจะเป็นเหตุให้พระศาสนานี้ยั่งยืนดำรงอยู่ได้นาน "
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบพระสารีบุตร (เหมือนดังที่ได้เขียนบอกไว้ในตอนต้นของบทความ)
" จงรอก่อนสารีบุตร จงยับยั้งก่อนสารีบุตร ตถาคตผู้เดียวจักรู้กาลในกรณีนั้น
พระศาสดายังไม่บัญญัติสิกขาบท ยังไม่แสดงปาติโมกข์แก่สาวก ตลอดเวลาที่ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะบางเหล่ายังไม่ปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ ต่อเมื่อใดอาสวัฏฐานิยธรรม(ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ) บางเหล่าปรากฏในสงฆ์ในศาสนานี้ เมื่อนั้นพระศาสดาจึงจะบัญญัติสิกขาบท แสดงปาติโมกข์แก่สาวก เพื่อกำจัดอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นแหละ "
หลังจากอ่านข้อความแล้ว จึงสามารถกล่าวได้ว่า การบัญญัติสิกขาบทเป็นปัจจัยที่สำคัญที่เป็นเหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ได้นาน การที่ได้มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในวัฏสงสาร เป็นอะไรที่ยากเย็นสุดจะพรรณนา เป็นสิ่งมีค่าที่สุดหาที่เปรียบมิได้ใน ๓๑ ภูมิ ดังนั้น อายุของพระพุทธศาสนานั้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งตามไปด้วย ซึ่งสิกขาบทนั้นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ยืนนาน การที่พระพุทธศาสนาสามารถดำรงอยู่ได้ยืนนานย่อมเกิดประโยชน์มากมายแก่สรรพสัตว์ การที่พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้นานขึ้น ๑ วินาทีนั้นย่อมมีค่ามากมายประมาณมิได้ เพราะจำนวนสัตว์ที่ประมาณมิได้ที่ได้รับประโยชน์ คูณกับจำนวน ๑ วินาทีนั้น ย่อมทำให้เกิดคุณค่าที่มากมายมหาศาลประมาณมิได้ตามจำนวนสัตว์ที่คูณเข้าไป
ลองคิดดูว่าการที่เรามีโรงไฟฟ้า โรงประปา หรือสวนสาธารณะนั้นก่อให้เกิดประโยชน์มากมายมหาศาลแก่ผู้คนแค่ไหน ใน ๑ วินาทีที่มีสาธารณูปโภคนั้นอยู่ ย่อมทำให้มีคนได้รับประโยชน์มากมายมหาศาล อย่างไรก็ตามต่อให้รวมสาธารณูปโภคที่มีอยู่ในโลกทั้งหมดมารวมกัน แล้วนำประโยชน์ที่ได้จากสาธารณูปโภคของคนทั้งหมดมารวมกัน ก็ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่งของประโยชน์ของบุคคลเดียวได้รับจากการทำบุญที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา เนื่องจากแค่คนๆเดียวได้ทำบุญอย่างถูกต้องในพระพุทธศาสนา ผลบุญที่เขาจะได้รับนั้นมากมายมหาศาลยาวนาน ซึ่งมีตัวอย่างมากมายในพระไตรปิฎก ในที่นี้ผู้เขียนจะขอนำเรื่องอดีตชาติของ พระปัญจสีลสมาทานิยเถระ ที่เกี่ยวกับการรักษาศีลมากล่าว ณ ที่นี้ (อ้างอิง ๑๑)
ในอดีตย้อนหลังกลับไป ๑ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป อยู่ในยุคสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอโนมทัสสี ซึ่งขณะนั้นผู้คนในยุคนั้นมีอายุขัยประมาณ ๑แสนปี พระปัญจสีลสมาทานิยเถระ ในตอนนั้นได้ไปบังเกิดในตระกูลหนึ่งในนครจันทวดี เป็นคนยากจนขัดสน ได้ประกอบอาชีพเป็นคนรับจ้างเพื่อเลี้ยงชีพ เนื่องจากท่านเป็นคนยากจนจึงมีข้าวน้ำและอาหารน้อย ท่านมัวแต่ประกอบอาชีพรับจ้างจึงยังไม่มีโอกาสได้บวช ถึงแม้ท่านไม่มีโอกาสได้บวช แต่ท่านก็เห็นโทษภัยในวัฏสงสารว่า โลกทั้งหลายถูกความมืดมิด(กิเลส)อันใหญ่หลวงปิดบังอยู่ ย่อมถูกไฟ ๓ กอง เผาผลาญ เราจะหลบออกจากความมืดมิดด้วยอุบายอะไรดีหนอ ไทยธรรม(ของสำหรับทำบุญ)ของเราก็ไม่มีเพราะเราเป็นคนยากไร้ทำงานแค่อาชีพรับจ้าง อย่ากระนั้นเลย เราพึงรักษาเบญศีล(ศีล ๕) ให้บริบูรณ์ เมื่อคิดได้ดังนั้น ท่านจึงเข้าไปหาพระภิกษุชื่อสภะ(เพื่อรับศีล) ซึ่งเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อท่านได้รับศีล ๕ แล้ว ท่านรักษาศีล ๕ ให้บริบูรณ์ตลอดสิ้นอายุขัย เมื่อเวลาใกล้หมดอายุขัย ทวยเทพได้เข้ามาเชื้อเชิญว่า "ท่านผู้นิรทุกข์ รถอันเทียมด้วยม้าพันหนึ่งนี้ปรากฏแล้วเพื่อท่าน " หลังจากนั้น ก่อนที่จะสิ้นชีพ จิตดวงสุดท้าย ท่านได้ระลึกถึงศีลของท่าน ด้วยผลบุญดังกล่าวมานี้ ท่านได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ได้เป็น จอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ ครั้ง แวดล้อมด้วย นางอัปสรทั้งหลาย เสวยสุขอันเป็นทิพย์อยู่
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ครั้ง
ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้
ชาติสุดท้ายกุศลส่งผล ให้มาเกิด ในตระกูลพราหมณ์มหาศาลอันมั่งคั่งในนครเวสาลี ซึ่งขณะนั้นพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ ในขณะที่ มารดาและบิดา ของท่านกำลังสิกขาบท ๕ ในเวลาเข้าพรรษา ท่านได้ฟังเรื่องศีลพร้อมกับมารดาบิดา จึงระลึกถึงศีลของท่านในอดีตได้บรรลุอรหัต ซึ่งขณะนั้นท่านอายุเพียง ๕ ขวบ เมื่อท่านบรรลุอรหันต์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทานอุปสมบทให้ท่าน นับตั้งแต่ชาติที่ท่านรักษาศีลห้าให้บริบูรณ์ในครั้งนั้น ท่านไม่ได้ไปสู่วินิบาต(ภพที่รับทุกข์)เลยตลอด ๑อสงไขยกับอีกแสนมหากัป
ท่านพระปัญจสีลสมาทานิยเถระได้กล่าวคาถาดังนี้
" เรานั้นได้เสวยยศเพราะกำลังแห่งศีลเหล่านั้น
เมื่อจะประกาศผลของศีลที่เราได้เสวยแล้ว โดยจะนำมา
ประกาศตลอดโกฏิกัป ก็พึงประกาศได้เพียงส่วนเดียว
เรารักษาเบญจศีลแล้ว ย่อมได้เหตุ ๓ ประการ คือเรา
เป็นผู้มีอายุยืนนาน ๑ มีโภคสมบัติมาก ๑ มีปัญญาคมกล้า ๑
เบญจศีลอันเราผู้เป็นคนรับจ้าง มีความเพียรประพฤติแล้ว
เราพ้นจากเครื่องผูกทั้งปวงได้ในวันนี้ด้วยศีลนั้น ในกัปอัน
ประมาณมิได้แต่กัปนี้ เรารักษาเบญจศีลแล้ว ไม่รู้จักทุคติเลย
นี้เป็นผลแห่ง (การรักษา) เบญจศีล "
ด้านบนนี้เป็นตัวอย่างของผู้ที่ทำบุญได้ถูกต้องตามหลักธรรม แล้วได้ประโยชน์มากมายมหาศาล
แต่ถ้าจะเปรียบเทียบในอีกแง่มุมหนึ่ง สมมติมีผู้หนึ่งเกิดความเจ็บป่วยอย่างหนักเป็นอัมพาต คนที่เจ็บป่วยนั้นยินยอมที่จะจ่ายเงินเท่าไหร่เพื่อหายจากความเจ็บป่วยนั้น บางท่านก็จ่ายเงินหลายล้านบาทเพื่อหายจากโรคภัย สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนเข้านิพพาน ก็ไม่จำเป็นต้องมาทนทุกข์กับความเจ็บป่วยอีกตลอดไป นั่นคือจำนวนเงินที่ต้องรักษาความเจ็บป่วย นำมาคูณกับจำนวนเวลาที่ต้องเวียนว่ายถ้าไม่ได้เข้านิพพาน นั่นคือ ถ้าหนึ่งปี จ่ายเงิน ร้อยบาทพันบาทหรือหมื่นบาทก็แล้วแต่ นำมาคูณกับ อนันต์ (จำนวนเวลาที่ต้องเวียนว่ายถ้าไม่ได้นิพพาน) สรุปได้ค่าคือ อนันต์ประเมินค่ามิได้
ค่าของพระพุทธศาสนาในมุมมองของพระโพธิสัตว์
ส่วนค่าของพระพุทธศาสนาในมุมมองพระโพธิสัตว์ก็เป็นสิ่งที่น่านำมากล่าวถึง ที่ผู้เขียนอ้างอิงในประเด็นนี้ ก็เพื่อว่าถ้าอ้างอิงในผู้ที่มีภูมิธรรมสูง ย่อมจะได้ค่าที่ใกล้จากความเป็นจริงมากที่สุด
(อ้างอิง ๑๒) ครั้งหนึ่งที่พระโพธิสัตว์สุตโสมได้ฟังธรรมแค่ ๔ คาถาจากพราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งนำภาษิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสปมากล่าวให้พระเจ้าสุตโสมฟัง หลังจากที่พระองค์ทรงฟังภาษิตดังกล่าวแล้ว ทรงพระดำริว่า
" คาถาเหล่านี้ไม่ใช่ภาษิตของพระสาวก ไม่ใช่ภาษิตของฤาษี ไม่ใช่ภาษิตของกวี
แต่เป็นภาษิตของพระสัพพัญญู จะควรค่าเท่าไรหนอ " ทรงพระดำริต่อไปว่า
" แม้เราจักให้จักรวาลทั้งสิ้น กระทำให้เต็มด้วยรัตนะ ๗ ตลอดถึงพรหมโลก
ก็ไม่อาจจะทำให้สมควร "
สิ่งที่พระโพธิสัตว์สุตโสมดำริแสดงถึง ความซาบซึ้งถึงคุณค่าของพระธรรม ด้วยคิดว่าจะนำแก้วแหวนเงินทองมากองให้เต็มโลก แล้วสูงขึ้นไปถึงพรหมโลก ก็ยังเทียบไม่ได้กับค่าของพระธรรม ๔ คาถานั้น
ระยะทางระหว่างพรหมโลกชั้นที่ ๑ กับโลกมนุษย์ (อ้างอิง ๑๓) มีการเปรียบเทียบไว้ว่า นำก้อนศิลาขนาดเท่าปราสาท ทิ้งลงมาจากชั้นนี้ จะใช้เวลาถึง ๔ เดือนถึงตกมายังโลก นั่นคือนำเพชรแก้วแหวนเงินทองมาวางกองท่วมทั้งจักรวาลสูงขึ้นไปถึงพรหมโลกค่าก็ยังไม่คู่ควรกับพระธรรม ๔ คาถานั่นเอง
ดังนั้นค่าพระธรรม ๔ คาถาในมุมมองของพระโพธิสัตว์ ก็ยังไม่สามารถประมาณค่าได้ ดังนั้นถ้าพระพุทธศาสนาทั้งหมดนั้นจะมีค่าประมาณไหน
ส่วนการประเมินคุณค่าของพระพุทธศาสนาได้อย่างแท้จริงนั้น คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะคุณค่าของพระพุทธศาสนาที่แต่ละคนจะสามารถประเมินมูลค่าออกมาได้ก็แตกต่างกันไปตามภูมิธรรมของแต่ละคน คนมีภูมิธรรมที่สูงก็ย่อมประเมินค่าของพระพุทธศาสนาได้ถูกต้องมากกว่าคนที่ภูมิธรรมต่ำ ผู้ที่สามารถประเมินคุณค่าของพระพุทธศาสนาได้ถูกต้องที่สุดก็น่าจะมีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนผู้อื่นก็ลดหลั่นกันตามลำดับของภูมิธรรม
(อ้างอิง ๑๔) ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงกล่าวถึงค่าของพระธรรมไว้ ด้วยพุทธพจน์ดังนี้ ในครั้งที่ท่านทำนายพระสุบินของพระเจ้าปเสนทิโกศล นั่นคือ
" ธรรมที่ตถาคตแสดงไว้ มีมูลค่าควรแก่พระนิพพาน
เป็นพุทธพจน์ที่กล่าวถึงมูลค่าของพระธรรม พระองค์ตรัสว่า " มีมูลค่าควรแก่พระนิพพาน "
การให้มูลค่าของพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมมีความสมบูรณ์ที่สุด ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากมาย
คำว่า " นิพพาน " นั้นเป็นคำที่มีความหมายสูงล้ำประมาณมิได้ ครอบคลุมมูลค่าทุกสรรพสิ่ง
ความพยายามที่จะอธิบายมูลค่าที่แท้จริงของสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ยิ่งอธิบายก็อาจจะเป็นการทำให้มูลค่าของสิ่งนั้นลดลงก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตามจากที่กล่าวถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนาดังที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ก็เพื่อแสดงให้ทุกคนพอจะรับรู้ว่า พระพุทธศาสนามีค่าประมาณมิได้อย่างแท้จริง ต่อให้พระธรรมแค่ ๑ ธรรมบท ก็ยังยากที่จะหาที่สุดแห่งคุณของพระธรรมบทนั้นได้เลย ดังนั้นการที่พระพุทธศาสนายืนยาวได้กว่าเดิมแค่วินาทีเดียว ก็เป็นคุณค่าที่มากประมาณมิได้ และข้อสำคัญพระวินัยนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้พระศาสนายืนนาน
จากความสำคัญของพระวินัยดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ พระวินัยเปรียบเหมือนตัวแทนของพระศาสดาที่พระองค์ทรงแต่งตั้ง, พระวินัยเป็นกฎทางธรรม, พระวินัยเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติธรรม และพระวินัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระพุทธศาสนายืนนาน ดังนั้น จึงขอให้ชาวพุทธได้เห็นความสำคัญและตระหนักว่าพระวินัยนั้นเป็นเรื่องที่ทุกท่านต้องรักษา เคารพยำเกรง เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ทั้งหลายและตัวท่านเอง
อุททานคาถา (อ้างอิง๑๕)
พระวินัยมีประโยชน์มาก คือนำมาซึ่งความสุขแก่พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ข่มพวกที่มีความปรารถนาลามก ยกย่องพวกที่มีความละอายและทรงไว้ซึ่งพระศาสนา เป็นอารมณ์ของพระสัพพัญญชินเจ้า ไม่เป็นวิสัยของพวกอื่น เป็นแดนเกษม อันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว ไม่มีข้อที่น่าสงสัย ภิกษุผู้ฉลาดในขันธกะ วินัย บริวาร และมาติกาปฏิบัติด้วยปัญญาอันหลักแหลม ชื่อว่าผู้ทำประโยชน์อันควร ชนใดไม่รู้จักโค ชนนั้นย่อมรักษาฝูงโคไม่ได้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น เมื่อไม่รู้จักศีล ไฉนเธอจะพึงรักษาสังวรไว้ได้เมื่อพระสุตตันตะ และพระอภิธรรมเลอะเลือนไปก่อนแต่พระวินัยยังไม่เสื่อมสูญ พระศาสนาชื่อว่า ยังตั้งอยู่ต่อไป
[หมายเหตุ : ในส่วนของอรรถกถาได้อธิบายเกี่ยวกับการบริโภคปัจจัย(อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ฯลฯ) ที่ชาวบ้านมาถวายด้วยความศรัทธา ของพระภิกษุ ซึ่งได้คัดมาโดยย่อดังนี้ (อ้างอิง ๑๖)
การบริโภค(ปัจจัย ๔)นั้นมี ๔ ประเภท คือ
๑.ไถยบริโภค (บริโภคอย่างขโมย ) คือ การบริโภคของภิกษุผู้ทุศีลซึ่งนั่งบริโภคอยู่ แม้ในท่ามกลางสงฆ์
๒. อิณบริโภค (บริโภคอย่างเป็นหนี้ ) คือ การบริโภคไม่พิจารณาของภิกษุผู้มีศีล ชื่อว่า อิณบริโภค เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้มีศีลพึงพิจารณาจีวรทุกขณะที่บริโภคใช้สอย บิณฑบาตพึงพิจารณาทุก ๆ คำกลืน เมื่อไม่อาจอย่างนั้น พึงพิจารณาในกาลก่อนฉัน หลังฉัน ยามต้น ยามกลาง และยามสุดท้าย หากเมื่อเธอไม่ทันพิจารณาอรุณขึ้นย่อมตั้งอยู่ในฐานะบริโภคหนี้ แม้เสนาสนะก็พึงพิจารณาทุก ๆ ขณะที่ใช้สอย ควรจะมีสติเป็นปัจจัยทั้งในขณะรับ ทั้งในขณะบริโภค
ภิกษุผู้ทำสติในการรับ ไม่ทำในการบริโภคอย่างเดียว เป็นอาบัติ
ภิกษุผู้ไม่ทำสติในการรับ ทำแต่ในเวลาบริโภคไม่เป็นอาบัติ
ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วนุ่งห่มจีวร ดังนี้ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่ทำสติในการรับ แต่ทำสติในการบริโภค
๓. ทายัชชบริโภค (บริโภคอย่างเป็นผู้รับมรดก) คือ การบริโภคปัจจัยของพระเสขะ ๗ จำพวก
พระเสขะ ๗ จำพวกนั้น เป็นพระโอรสของพระผู้มีพระภาคเจ้า (พุทธบุตร) เพราะฉะนั้น จึงเป็นทายาทแห่งปัจจัยอันเป็นของพระพุทธบิดา บริโภคอยู่ซึ่งปัจจัยเหล่านั้น
ถามว่าก็พระเสขะเหล่านั้น บริโภคปัจจัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือบริโภคปัจจัยของพวกคฤหัสถ์ ?
ตอบว่า ปัจจัยเหล่านั้น แม้อันพวกคฤหัสถ์ถวาย ก็จริง แต่ชื่อว่าเป็นของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระเสขะเหล่านั้น บริโภคปัจจัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า
๔. สามีบริโภค (บริโภคอย่างเป็นเจ้าของ) คือ การบริโภคของพระขีณาสพทั้งหลาย ชื่อว่า สามีบริโภค พระขีณาสพทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริโภคเพราะล่วงความ เป็นทาสแห่งตัณหาได้แล้ว
บรรดาการบริโภคทั้ง ๔ นี้ สามีบริโภคและทายัชชบริโภค ย่อมควรแม้แก่ภิกษุทุกจำพวก อิณบริโภค ไม่สมควรเลย ในไถยบริโภคไม่มีคำจะพูดถึงเลย ]
อ้างอิง๑ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๕ ข้อที่ ๘
อ้างอิง๒ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๒๐ ข้อที่ ๑๔๑
อ้างอิง๓ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ ๖๓๒ ข้อที่ ๕๓๓
อ้างอิง๔ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่๓๐ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๘๗ ข้อ ๑๕๘
อ้างอิง๕ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่๑๓ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ ๒๔๗
อ้างอิง๖ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ ๕๙๖
อ้างอิง๗.๑ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่๑๔ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ ๓๓๘ บรรทัดที่ ๑๔
อ้างอิง๗.๒ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่๑๔ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ ๓๓๘ บรรทัดที่ ๑
อ้างอิง๘ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๓๕ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ ๒๓๘
อ้างอิง๙ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่ม ๓๗ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาตเล่มที่ ๔ หน้า ๒๖๐ ข้อ ๖๙
อัคคิขันธูปมสูตร
อ้างอิง๑๐ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๒
อ้างอิง๑๑ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่๗๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้าที่ ๙๗
อ้างอิง๑๒ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่๖๒ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๗๙
อ้างอิง๑๓ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๓๘
อ้างอิง๑๔ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๕๖ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ ๒๓๑
อ้างอิง๑๕ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่มที่ ๖ พระวินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๖๖
อ้างอิง๑๖ พระไตรปิฎกและอรรถกถาไทย ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย จำนวน ๙๑ เล่ม
เล่ม ๓ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๕๑
จบบทความที่2
ความคิดเห็น
คุณไม่มีสิทธิ์เพิ่มความคิดเห็น
มุมมองเดสก์ท็อป ไซต์ของฉัน
ขับเคลื่อนโดย Google Sites
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น